โลกุตรธรรม ธรรมหรือสิ่งอันมิใช่วิสัยทาง โลกๆ, สภาวะพ้นจากทางโลกๆ หรือสภาวะเหนือโลก อันมี๙ ดังนี้ (พระอริยบุคคล มี๘ คือผู้ปฏิบัติได้ในข้อ๑-๘ - ฐานะแห่งตน ที่จำแนกแบบอริยสาวก)
๑. โสดาปัตติมรรค ทางปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงผล อันคือความเป็นพระโสดาบัน, ญาณคือความรู้เป็นเหตุละสังโยชน์ได้ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส, เมื่อโสดาปัตติมรรคเกิด ขึ้น ตั้งอยู่ชั่วขณะมรรค จิตเท่านั้น พ้นจากนั้นก็จะเกิดผลจิตคือโสดาปัตติผล ในข้อ ๒. กลายเป็นผู้ตั้งอยู่ในผล คือเป็นพระโสดาบันนั่นเอง
๒. โสดาปัตติผล ผลคือการถึง กระแสพระนิพพาน จากการละสังโยชน์ ๓ ข้อแรกด้วยโสดาปัตติมรรค ทําให้บุคลผู้นั้นเป็นพระโสดาบัน ผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็น ธรรมดา เป็นผู้เที่ยง มีปัญญาเครื่องตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า, กล่าวคือ เข้าสู่กระแสพระนิพพาน หมายถึงเข้าสู่กระแสแรงดึงดูดของพระนิพพานเสียแล้ว อันมิอาจเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นได้ เพียงขึ้นอยู่กับระยะเวลา ตั้งแต่ภพชาติเดียว(เอกพีชี)จนถึงมากที่สุด ๗ ชาติ มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความเพียร สติ ปัญญา ตลอดจนเหตุปัจจัย เป็นพระโสดาบัน ผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็น ธรรมดา เป็นผู้เที่ยง มีปัญญาเครื่องตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า ดังนี้
โสตาปันนสูตร
ว่าด้วยผู้เป็นพระอริยสาวก โสดาบัน
[๒๙๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้. อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นไฉน? ได้แก่ อุปาทานขันธ์คือรูป อุปาทานขันธ์คือเวทนา อุปาทานขันธ์คือสัญญา อุปาทานขันธ์คือ สังขาร อุปาทานขันธ์คือวิญญาณ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุที่พระอริยสาวกย่อมรู้ชัดซึ่งเหตุเกิด ความดับ คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ ตามความเป็นจริง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า พระอริยสาวกผู้โสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงมีอันจะตรัสรู้ในเบื้องหน้า.
(พระไตรปฏก เล่มที่ ๑๗ หัวข้อที่๒๙๖)
๓. สกิทาคามิมรรค ทางปฏิบัติเพื่อบรรลุผลความเป็นพระ สกิทาคามี, หรือการปฏิบัติเพื่อให้เกิดญาณรู้คือความรู้อันเป็นเหตุละสังโยชน์ ๓ ข้อแรก และเบาบางลงในข้อ ๔ และ ๕ คือ กามราคะ และ ปฏิฆะ
๔. สกิทาคามิผล ผลที่ได้รับจาก การปฏิบัติอันสืบเนื่องจากสกิทาคามิมรรคในข้อ๓ ทําให้เป็น พระสกิทาคามี
๕. อนาคามิมรรค ทางปฏิบัติเพื่อบรรลุผลคือความเป็นพระอนาคามี, หรือการปฏิบัติเพื่อให้เกิดญาณคือความรู้อันเป็นเหตุละสังโยชน์ทั้ง๕ข้อแรก ได้
๖. อนาคามิผล ผลที่ได้รับจากการปฏิบัติอันสืบ เนื่องจากอนาคามิมรรคในข้อ๕ ทําให้เป็นพระอนาคามี
๗. อรหัตตมรรค ทางปฏิบัติเพื่อบรรลุผลเป็นพระอรหันต์, หรือการปฏิบัติเพื่อให้เกิดญาณคือความรู้อันเป็นเหตุละสังโยชน์ทั้ง๑๐
๘. อรหันตผล ผลคือความสําเร็จเป็นพระอรหันต์ ผลที่ ได้รับจากการละสังโยชน์ทั้งหมด
๙. นิพพาน ผลการดับกิเลสและกองทุกข์ เป็นโลกุตรธรรมที่เป็นจุดหมายสูงสุดในพุทธศาสนา
ที่มา : http://www.nkgen.com
No comments:
Post a Comment