2009-09-19

ประเพณีวันสารทเดือนสิบ

ประเพณีวันสารทเดือนสิบ หรือ งานบุญเดือนสิบ

เป็นประเพณีที่สำคัญอย่างหนึ่ง ที่ชาวภาคใต้ได้ปฏิบัติสืบต่อกันมา แต่ครั้งโบราณจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้เนื่องจากความเชื่อทางพุทธศาสนาว่าในปลายเดือนสิบ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย และญาติพี่น้องซึ่งล่วงลับไปแล้ว โดยเฉพาะผู้ที่มีบาปตกนรกอยู่ ซึ่งเรียกว่า "เปรต" จะได้รับการปล่อยตัวจากพญายม ให้ขึ้นมาพบลูกหลานและญาติพี่น้องของตนในเมืองมนุษย์ ในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 และให้กลับไปอยู่เมืองนรกดังเดิมในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10

ชาวบ้าน จึงจัดให้มีการทำบุญเป็นประเพณีขึ้นในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 ครั้งหนึ่งกับวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 อีกครั้งหนึ่ง (บางท้องถิ่นทำในวันแรม 14 ค่ำ) เพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ญาติพี่น้อง ตลอดจนบุคคลอื่น ๆ ที่ล่วงลับไปแล้วเป็นสำคัญเพียงแต่ว่าการทำบุญใน 2 วาระหลังเพราะถือว่ามีความสำคัญกว่าในวาระแรก

การทำบุญสารทเดือนสิบ เป็นการแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมทางด้านจิตใจของผู้ปฏิบัติที่มี ต่อบุรพชน อันเป็นค่านิยมที่สำคัญยิ่งของชาวใต้ และของคนไทยทั่วไป ชาวภาคใต้จึงรู้สึกว่า งานบุญนี้มีความสำคัญมาก เมื่อใกล้ถึงวันทำบุญเดือนสิบ ทุกครอบครัวต่างก็เตรียมข้าวของให้ พร้อมเพื่อการทำบุญ ผู้ที่จากภูมิลำเนาไปอยู่ที่อื่นทั้งใกล้และไกล ก็จะเริ่มกลับสู่ถิ่นใต้บ้านเกิดเมืองนอนของตน เพื่อมาร่วมงานประเพณีโดยทั่วหน้ากัน การทำบุญเดือนสิบ จึงเป็นงานประเพณีที่ก่อให้เกิดการชุมนุมของเครือญาติได้อีกทางหนึ่งด้วย ชาวภาคใต้บางคนบางพวกที่ไม่อาจกลับสู่ ภูมิลำเนาของตนได้ด้วยความจำเป็นบางประการ ก็พยายามหาโอกาสทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ บุรพชนในวาระทำบุญวันสารท และถ้าสามารถรวมกลุ่มกันได้ก็จะจัดประเพณีทำบุญนี้ขึ้น ณ จุดใดจุดหนึ่งในแหล่งที่ไปอาศัยอยู่นั้น

ชื่อประเพณี
ประเพณีทำบุญนี้มีชื่อเรียกต่างกันออกไปเป็นหลายชื่อ โดยทั่วไปแล้วจะมีการกำหนดเรียก 4 ลักษณะ คือ

1. กำหนดเรียกตามเดือนที่ทำบุญประเพณี เนื่องจากประเพณีทำบุญนี้จัดให้มีขึ้นในเดือน 10 ตามคติความเชื่อดังกล่าวแล้ว ชาวบ้านจึงเรียกกันอย่างง่าย ๆ ว่า "ประเพณีทำบุญเดือนสิบ"

2. กำหนดเรียกตามประเพณี "สารท" ของอินเดียที่รับอิทธิพลเข้ามา คำว่า "สารท"พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายไว้ว่า "เกี่ยวกับหรือเกิดในฤดู ใบไม้ร่วง, เทศกาลทำบุญสิ้นเดือนสิบ" ในอินเดียคำว่า "สารท" เป็นชื่อที่ใช้เรียกฤดูใบไม้ร่วง และมีประเพณีอันเกี่ยวเนื่องด้วยฤดูสารทนี้ คือ เมื่อถึงฤดูสารทพืชพันธุ์ธัญญาหารที่ปลูกไว้ ให้ดอกผล ก็จะมีการเก็บเกี่ยวไปทำขนม เซ่น พลีบูชาผีปู่ย่า ตายายหรือเทพเจ้าที่ตนนับถือ และแสดงความยินดีกัน ในสมัยพุทธกาลพระพุทธองค์ทรงเห็นว่าการทำบุญในลักษณะเช่นนี้ เป็นการดี จึงทรงอนุญาตให้พุทธศาสนิกชนคงคถือปฏิบัติเรื่อยมา จึงเป็นที่เชื่อกันว่า เราได้รับประเพณีนี้มาจากอินเดีย และบางคนยังคงเรียกประเพณีนี้ว่า "สารท" ด้วย และในบางครั้งก็มีการเรียกควบคู่กับ "เดือนสิบ" ด้วย เช่น "ประเพณีทำบุญวันสารท" หรือ "ประเพณีทำบุญสารทเดือนสิบ"

3. กำหนดเรียกตามขั้นตอนปฏิบัติที่สำคัญของประเพณี ประเพณีนี้มีวิถีปฏิบัติหลายขั้นตอน ที่สำคัญ คือ การจัดหมรับ การยกหมรับ และการชิงเปรต บางคนจึงเรียกว่า "ประเพณียกหมรับ" หรือประเพณีชิงเปรต"

4. กำหนดเรียกตามความมุ่งหมายหลักของประเพณี ประเพณีนี้มีความมุ่งหมายหลักอยู่ที่ การอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งเชื่อว่าไปเป็น "เปรต" อยู่ในนรกและได้รับ การปล่อยตัวให้ขึ้นมาเยี่ยมลูกหลานในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 และกลับสู่นรกในวันแรม 15 เดือน 10 ลูกหลานจึงต้องทำบุญในวันเวลาดังกล่าว เพราะถือว่าเป็นการ "รับ" และ "ส่ง" ตายาย ดังนั้นบางท้องถิ่นจึงเรียกประเพณีนี้ว่า "ประเพณีทำบุญตายาย" หรือ ประเพณี รับส่งตายาย

ความมุ่งหมายของการทำบุญสารทเดือนสิบ
ประเพณีทำบุญสารทเดือนสิบ มีเป้าหมายหลักอยู่ที่การอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ตลอดจนญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว แต่ด้วยช่วงเวลาปฏิบัติและวิถี ปฏิบัติของผู้ซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชน จึงทำให้ประเพณีนี้มีความมุ่งหมายอื่น ๆ เข้าประกอบด้วย ดังต่อไปนี้

1. เพื่อเป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ญาติ พี่น้อง หรือบุคคลอื่น ที่ล่วงลับไปแล้ว

2. เป็นการทำบุญ แสดงความชื่นชมยินดี ในโอกาสที่ได้รับผลิตผลทางการเกษตร ในช่วงปลาย เดือน 10 ซึ่งตรงกับประเพณีสารท เป็นระยะที่พืชพันธุ์ต่าง ๆ กำลังให้ผลชาวบ้านจะนำพืชผล ทั้งในลักษณะที่ไม่แปรสภาพและแปรสภาพเป็นอาหารต่าง ๆ แล้วไปถวายพระสงฆ์ เพื่อความ เป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว

3. เพื่อเป็นการอำนวยประโยชน์ ในด้านปัจจัยอาหารแด่ภิกษุสงฆ์ ในช่วงฤดูฝนโดยนำพืชผลไม้ และอาหารแห้งไปถวายพระสงฆ์เพื่อเก็บไว้เป็นเสบียงในฤดูฝน ซึ่งจะเริ่มในตอนปลายเดือน 10 การจัดเสบียงอาหารนี้ จะจัดเป็นสำรับที่ชาวใต้เรียกว่า "หมรับ" แล้วถวายโดยวิธีให้พระภิกษุ จัดสลากเรียกว่า "สลากภัต" พระภิกษุจะให้ศิษย์เก็บหมรับรับไว้ เพื่อนำมาประเคนถวายเป็นมื้อๆ

4. เพื่อเป็นการแสดงความสนุกสนานรื่นเริงประจำปีร่วมกัน เพราะญาติมิตรที่อยู่ใกล้ไกลจะกลับ สู่ภูมิลำเนาค่อนข้างพร้อมหน้าพร้อมตากัน จึงมักมีการจัดงานรื่นเริงเฉลิมฉลองกันในลักษณะ ต่างๆ จังหวัดนครศรีธรรมราชมีการจัดงานรื่นเริงควบคู่กับประเพณีทำบุญเดือน 10 เป็นงาน ใหญ่โต เรียกว่า "งานเดือนสิบ" ซึ่งยังคงจัดมาจนถึงปัจจุบัน

วิธีปฏิบัติและพิธีกรรม
ประเพณีทำบุญสารทเดือนสิบ มี 2 ครั้ง คือ ในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 ครั้งหนึ่งกับ วันแรม 15 ค่ำ อีกครั้งหนึ่ง

ในวันแรม 1 ค่ำเดือน 10 ชาวบ้านโดยทั่วไปยังไม่ถือว่าเป็นวันสำคัญนัก การประกอบพิธี จึงเป็นอย่างง่าย ๆ เพียงจัดภัตตาหารไปทำบุญที่วัดเรียกวันนี้ว่า "วันรับตายาย" หรือ "วันหมรับเล็ก" ในวันแรม 13 ค่ำ แรม 14 ค่ำ และแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ถือเป็นช่วงสำคัญมาก เรียกว่า "วันหมรับใหญ่" มีขั้นตอนการปฏิบัติตนและประกอบพิธีกรรมโดยทั่วไป ดังนี้

การเตรียมการ มีการจัดข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ไว้ให้ครบ ถ้วนเพื่อการจัดหมรับ ดังนั้นในวันแรม 13 ค่ำเดือน 10 จึงมีการซื้อขายกันมากเรียกว่า "วันจ่าย"

การจัดหมรับ ส่วนใหญ่จัดกันในวันแรม 14 ค่ำ เดือน 10 แต่เดิมนิยมใช้กระบุงทรงเตี้ย ๆ สานด้วยตอกไม้ไผ่ขนาดเล็กใหญ่ตามต้องการ แต่มาระยะหลังใช้ภาชนะจัดตามสะดวก ของที่ใช้ ในการจัดหมรับ ได้แก่เครื่องปรุงรสอาหารที่จำเป็น, อาหารแห้ง, ของใช้ในชีวิตประจำวัน,ยาสามัญ ประจำบ้าน, ธูป, เทียน และหัวใจคือสำคัญของหมรับ คือ ขนม 5 อย่าง ซึ่งมีความหมายต่อการ อุทิศส่วนกุศลให้ญาติผู้ล่วงลับ และถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของงานบุญสารท เดือน 10

ขนมพอง เป็นสัญลักษณ์แทนแพ สำหรับญาติผู้ล่วงลับใช้ล่องข้ามห้วงมหรรณพตามคติ ทางพุทธศาสนา
ขนมลา เป็นสัญลักษณ์แทนแพรพรรณเครื่องนุ่งห่ม
ขนมกง (ขนมไข่ปลา) เป็นสัญลักษณ์แทนเครื่องประดับ
ขนมดีซำ เป็นสัญลักษณ์แทนเงินเบี้ยสำหรับใช้สอย
ขนมบ้า เป็นสัญลักษณ์แทนสะบ้า สำหรับญาติผู้ตายจะได้ใช้เล่นสะบ้าในวันสงกรานต์

การยกหมรับไปวัด จะมีการจัดภัตตาหารไปถวายพระด้วย จึงมักจะไปวัดกันในช่วงเช้า ก่อนพระฉันเพล ผู้ยกหมรับไปวัดจะแต่งกายสะอาด สวยงามเพราะถือว่าเป็นการทำบุญ ครั้งสำคัญ โดยเลือกวัดที่อยู่ใกล้บ้าน หรือวัดที่เคยเผาบรรพบุรุษหรือวัดที่บรรพบุรุษเคยนิยม ยกหมรับไปวัด อาจต่างครอบครัวต่างไป หรือจัดเป็นขบวนแห่ก็ได้ ถ้าเป็นหมรับใหญ่และมีการ ประกวดหมรับกันด้วย จะมีขบวนแห่ใหญ่โตเอิกเกริก ผู้ร่วมขบวนแห่แต่งตัวสวยงามตามลักษณะ ขบวน อาจมีการแต่งเป็นเปรตหรืออื่น ๆ ตามแต่ความคิดของผู้ร่วมขบวน

การตั้งเปรต เมื่อยกหมรับและนำภัตตาหารไปถึงวัดแล้ว ก็เตรียมจัดสำรับ การจัดสำรับ ในวันสารททั้ง 2 ครั้ง (แรม 1 ค่ำ เดือน 10, แรม 15 ค่ำ เดือน 10) ก็มีข้าวปลาอาหาร และขนมเดือน 10 จัดเป็น 3 ชุด คือ

ชุดที่ 1 สำหรับถวายพระ เพื่อจะได้กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปไห้บุรพชนหรือผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว

ชุดที่ 2 สำหรับตั้งให้เปรตกันในวัด เป็นเปรตชั้นดี ที่สามารถเข้าวัดเข้าวาได้โดยสร้างร้าน ขึ้นสูงพอสมควรเรียกว่า "หลาเปรต" (หลา เป็นภาษาถิ่นใต้หมายถึงศาลา ดังนั้น "หลาเปรต" จึงหมายถึงศาลาที่ใช้สำหรับตั้งเปรต) แล้วนำอาหารไปไว้บนหลาเปรตนั้น

ชุดที่ 3 สำหรับตั้งให้เปรตกินนอกวัด เป็นเปรตที่มีบาปหนัก เข้าวัดเข้าวาไม่ได้โดยจะเอา ไปวางไว้นอกบริเวณวัดตามกำแพงหรือโคนต้นไม้ในการตั้งเปรตทั้งในวัดและนอกวัด จะต้องกล่าวคำเชิญเปรตและอธิษฐานให้เปรตได้ หลุดพ้นจากความทุกข์ยาก ถ้าไม่เชิญเปรต เปรตจะไม่กล้ากินเหมือนหนึ่งเราจัดอาหารให้แขกหรือ ญาติที่มาเยี่ยม จัดวางไว้แล้วเราไม่เชิญแขกก็ไม่กล้ากิน เมื่อเชิญเสร็จแล้วควรจะยืนดูสักระยะหนึ่ง พอให้เปรตกินเสร็จ เปรตจะได้ชื่นใจว่าเรายื่นให้ด้วยความเต็มใจ และคอยเฝ้าปรนนิบัติไม่ละทิ้ง

การชิงเปรต เมื่อจัดสำรับไปวางไว้บนหลาเปรตแล้ว บนหลาเปรตจะมีสายสิญจน์วงล้อม ไว้รอบ และต่อยาวไปจนถึงพระสงฆ์ ซึ่งนั่งอยู่ในวิหารเป็นที่ทำพิธีกรรม โดยสวดบังสุกุลอัฐิหรือ กระดาษเขียนชื่อของผู้ตาย ซึ่งบุตรหลานนำมารวมกันในพิธีต่อหน้าพระสงฆ์บุตรหลานจะ กรวดน้ำอุทิศส่วนบุญไปยังเปรตชนที่เป็นบรรพบุรุษ เมื่อเสร็จพิธีแล้ว เก็บสายสินจน์ ก็มีการชิงเปรต คือแย่งของที่ตั้งให้เปรตกินนั้น เชื่อว่า การแย่งขนมเปรตที่ผ่านการทำพิธีแล้วนี้จะได้กุศลแรง เป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัวยิ่งนัก และยังเชื่อกันต่อไปว่าขนมเหล่านี้ถ้านำไปหว่าน ในสวน ในนา จะทำให้พืชผลอุดมสมบูรณ์ เพิ่มผลผลิตสูง

ที่มา http://www.geocities.com/provyala/month10.htm

No comments:

ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในเว็บไซด์ที่เป็นของ Andaman Amulet ไม่สงวนสิทธิ์ สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้
ข้อความและรูปภาพบางส่วน นำมาจากเว็บไซด์หลายแห่ง ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้

ติดต่อผู้จัดทำได้ที่ E-mail : skarnwigit@gmail.com


ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ผู้ขอมักเป็นที่รังเกียจ