2009-02-11

พระพุทธบาทของไทย


พระพุทธบาท เป็นบริโภคเจดีย์ ซึ่งเป็นเจดีย์ประเภทหนึ่งในสี่ประเภทของพระพุทธเจดีย์ สร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธบูชา เช่นเดียวกับพระพุทธธาตุเจดีย์

การนับถือรอยพระพุทธบาทเป็นเจติยสถาน มีมูลเหตุเกิดขึ้นจากสองคติต่างกัน คือ เป็นคติของชาวมัชฌิมประเทศหรือชาวอินเดียในครั้งโบราณอย่างหนึ่ง และเป็นคติของชาวลังกาทวีป คือ ชาวลังกาในปัจจุบันอย่างหนึ่ง

สำหรับคติของชาวมัชฌิมประเทศนั้น เดิมถือกันตั้งแต่ครั้งพุทธกาล และก่อนหน้านั้นว่า ไม่ควรสร้างรูปเทวดาหรือมนุษย์ขึ้นไว้บูชา ดังนั้นเจดีย์ที่พุทธศาสนิกชนสร้างขึ้นเมื่อก่อนพุทธศักราช 500 จึงทำแต่สถูปหรือวัตถุต่าง ๆ เป็นเครื่องหมาย สำหรับบูชาแทนองค์พระพุทธเจ้า ซึ่งรอยพระพุทธบาทก็เป็นวัตถุอย่างหนึ่งที่นิยมทำกันในสมัยนั้น

ส่วนคติที่ถือกันในลังกาทวีปนั้น เกิดขึ้นภายหลัง โดยอ้างว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงประทับรอยพระพุทธบาทไว้ให้เป็นที่สักการะบูชา มีอยู่ห้าแห่งด้วยกัน คือที่เขาสุวรรณมาลิก เขาสุวรรณบรรพต เขาสุมนกูฏ ที่เมืองโยนกบุรี และที่หาดในลำน้ำนัมทานที มีคาถา คำนมัสการ แต่งไว้สำหรับสวดท้ายบทสวดมนต์อย่างเก่า ดังนี้
สุวณฺณ มาลิเก สุวณฺณ ปัพพเต สุมนกูเฏ โยนกปุเร
นมฺมทาย นทิยา ปัญฺจปทวรํ อหํ วนฺทามิ ทูรโต

เดิมเรารู้จักแต่รอยพระพุทธบาทที่เขาสุมนกูฏ ซึ่งอยู่ที่ลังกาทวีปแห่งเดียว ตามตำนานในเรื่องมหาวงศ์ มีว่า ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าได้เสด็จโดยทางอากาศไปยังลังกาทวีป ได้ทรงสั่งสอนชาวลังกาทวีป จนเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับไปยังมัชฌิมประเทศ ได้ทรงกระทำอิทธิปาฏิหารย์ ประทับรอยพระพุทธบาท ซึ่งมีขนาดใหญ่ มีความยาวประมาณหนึ่งวา ประดิษฐานไว้บนยอดเขาสุมนกูฏ สำหรับให้ชาวลังกาได้สักการะบูชาต่างพระองค์

ฝ่ายพุทธศาสนิกชน ที่นับถือพระพุทธศาสนาตามลัทธิลังกาวงศ์ เช่น ไทย พม่า มอญ ต่างก็พยายามไปนมัสการรอยพระพุทธบาทแห่งนี้ เป็นเวลาช้านาน


ล่วงมาถึงรัชกาลพระเจ้าทรงธรรมแห่งกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 2163-2173) เมื่อพระสงฆ์ไทยคณะหนึ่ง เดินทางไปนมัสการ รอยพระพุทธบาทที่ลังกาทวีป ณ เขาสุมนกูฏ พระสงฆ์ลังกาได้ถามว่า ในบรรดารอยพระพุทธบาทที่มีอยู่ห้าแห่งนั้น แห่งหนึ่งอยู่ที่เขาสุวรรณบรรพตในประเทศสยามเอง ชาวสยามทำไมจึงไม่ไปนมัสการรอยพระพุทธบาทแห่งนั้น เมื่อคณะสงฆ์ดังกล่าวเดินทางกลับมายังอยุธยา จึงนำความเข้าทูลพระเจ้าทรงธรรม พระเจ้าทรงธรรมจึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้มีตราสั่งบรรดาหัวเมืองทั้งหลายให้ไปตรวจค้นดูตามภูเขาต่าง ๆ ว่ามีรอยพระพุทธบาทอยู่ ณ ที่แห่งใดหรือไม่

ในครั้งนั้น ผู้ว่าราชการเมืองสระบุรีสืบได้ความจากพรานบุญว่า ครั้งหนึ่งตัวพรานบุญเองได้ไปล่าเนื้อในป่าริมเชิงเขา ได้ใช้หน้าไม้ยิงถูกเนื้อตัวหนึ่งบาดเจ็บ เนื้อนั้นได้วิ่งหนีขึ้นไปบนไหล่เขาเข้าเชิงไม้ไป พอบัดเดี๋ยวก็เห็นเนื้อตัวนั้นวิ่งออกจากเชิงไม้ไปเป็นปกติดังเดิม พรานบุญแปลกใจจึงขึ้นไปดูบนไหล่เขานั้น ก็เห็นมีรอยอยู่ในศิลาเหมือนรอยเท้าคน ขนาดยาวประมาณศอกเศษ มีน้ำขังอยู่ในรอยนั้น ก็สำคัญว่าเนื้อคงหายบาดเจ็บเพราะกินน้ำนั้น จึงตักเอามาลองลูบตัวดู บรรดากลากเกลื้อนที่ตนเป็นอยู่มาช้านานก็หายหมด ผู้ว่าราชการเมื่อสระบุรีทราบดังนั้น จึงไปตรวจดูเห็นมีรอยอยู่จริงตามที่พรานบุญเล่าให้ฟัง จึงได้มีใบบอกเข้ามายังกรุงศรีอยุธยา

พระเจ้าทรงธรรมจึงได้ เสด็จออกไปทอดพระเนตรเห็นจริง จึงทรงพระราชดำริว่าคงเป็นรอยพระพุทธบาท ตรงตามที่ลังกาบอกมาเป็นแน่แท้ ก็ทรงโสมนัสศรัทธาด้วยเห็นว่า เป็นเจดีย์เนื่องชิดติดต่อถึงพระพุทธเจ้า ประเสริฐกว่าอุเทสิกเจดีย์ เช่น พระพุทธรูป และพระสถูปเจดีย์ ซึ่งเป็นของสร้างขึ้นโดยสมมติ จึงโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างเป็นมหาเจดียสถาน มีพระมณฑปสวมรอยพระพุทธบาท และมีสังฆารามที่พระภิกษุสงฆ์บริบาล และสร้างบริเวณพระราชนิเวศน์ที่เชิงเขาพระพุทธบาทแห่งหนึ่ง กับที่ท่าเจ้าสนุกริมลำน้ำป่าสักอีก แห่งหนึ่ง สำหรับประทับเวลาเสด็จไปสักการะบูชา แล้วโปรดเกล้า ฯ ให้ช่างชาวฮอลันดา ส่องกล้องทำถนน ตั้งแต่ท่าเรือขึ้นไปจนถึงสุวรรณบรรพต เพื่อให้มหาชนเดินทางไปมาได้สดวก ทรงพระราชอุทิศที่หนึ่งโยชน์ โดยรอบรอยพระพุทธบาท ถวายเป็นพุทธบูชา กัลปนาผลซึ่งได้เป็นส่วนของหลวงในที่นั้น สำหรับใช้จ่ายในการรักษามหาเจดียสถาน และให้บรรดาชายฉกรรจ์ที่ตั้งภูมิลำเนาอยู่ในเขตที่ทรงพระราชอุทิศนั้น พ้นจากหน้าที่ราชการอื่น โดยจัดให้เป็นขุนโขลนข้าพระ ทำหน้าที่รักษาพระพุทธบาทแต่อย่างเดียว

บริเวณที่ทรงพระราชอุทิศนี้ ได้นามที่เรียกกันเป็นสามัญว่า เมืองพระพุทธบาท เกิดมีเทศกาลที่มหาชนไปบูชารอยพระพุทธบาท ในกลางเดือนสามและกลางเดือนสี่เป็นประจำนับแต่นั้นมา


ความจริงรอยพระพุทธบาทอันเป็นที่มหาชนบูชาในประเทศไทย มีมาก่อนสมัยพระเจ้าทรงธรรมแล้วช้านานและมีอยู่หลายแห่ง โดยทำเป็นรอยพระพุทธบาทขนาดต่างกัน 4 รอย อุทิศต่อพระพุทธเจ้าทั้ง 4 พระองค์ เช่นที่เขาในแขวงเมืองเชียงใหม่ ทำเป็นรอยพระบาททั้งซ้ายและขวา ที่เป็นศิลาแผ่นใหญ่ เดิมอยู่ในเมืองชัยนาท ปัจจุบันอยู่ที่วัดบวรนิเวศ ฯ และที่เรียกว่า "พระยืน" อยู่ในมณฑปใกล้พระแท่นศิลาอาส์น เป็นต้น

การที่ทำแต่รอยพระพุทธบาทขวาข้างเดียวนั้นมีอยู่มาก ที่สำคัญคือที่พระเจ้าธรรมราชาลิไท แห่งกรุงสุโขทัย ทรงสร้างไว้บนเขานางทอง จังหวัดกำแพงเพชร มีอักษรจารึก อีกรอยหนึ่งไม่ปรากฎว่าผู้ใดสร้าง ปัจจุบันอยู่ที่วัดพระรูป จังหวัดสุพรรณบุรี พระพุทธบาทรอยนี้จำหลักบนแผ่นกระดานไม้แก่น ด้านหลังจำหลักรูปภาพเรื่องมารวิชัย แต่ตรงที่พระพุทธรูปทำเป็นแท่นพระพุทธอาส์น ไม่ได้ทำเป็นพระพุทธรูป แสดงว่ารอยพระพุทธบาทที่สร้างขึ้นในประเทศไทย ชั้นเดิมถือตามคติชาวมัธยมประเทศ คือสร้างเป็นวัตถุที่สักการะบูชาแทนพระพุทธรูป มิได้อ้างว่าพระพุทธองค์ได้ทรงเหยียบรอยพระพุทธบาทไว้ เพราะฉะนั้นการที่พบรอยพระพุทธบาท ณ เขาสุวรรณบรรพต จึงทำให้เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาว่า พระพุทธเจ้าได้เคยเสด็จมา ณ ที่นี้ ต่อมาได้เกิดเจดียสถานที่เชื่อกันว่าเป็นพุทธบริโภคอีกหลายแห่ง คือ พระพุทธฉาย และพระแท่นดงรัง เป็นต้น

พระพุทธบาทที่สำคัญของไทยได้แก่

พระพุทธบาทสระบุรี จังหวัดสระบุรี
พระพุทธบาทตากผ้า จังหวัดลำพูน
พระพุทธบาทบัวบก จังหวัดอุดรธานี

ที่มา : หอมรดกไทย

No comments:

ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในเว็บไซด์ที่เป็นของ Andaman Amulet ไม่สงวนสิทธิ์ สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้
ข้อความและรูปภาพบางส่วน นำมาจากเว็บไซด์หลายแห่ง ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้

ติดต่อผู้จัดทำได้ที่ E-mail : skarnwigit@gmail.com


ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ผู้ขอมักเป็นที่รังเกียจ