พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า(Sri Ariyameetrai Buddha) สันนิษฐานว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ แรกในอนาคตที่จะมาประสูติเพื่อประกาศพระธรรม กล่าวกันว่าขณะนี้พระศรีอาริยเมตไตรยได้บำเพ็ญพระโพธิญาณอยู่บนสวรรค์ชั้นดุ สิตาภูมิเพื่อรอการประสูติเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อย้อนไปในยุคของพระสิริมัตตะพุทธเจ้า พระศรีอาริยเมตไตรยทรงเป็นกษัตริย์พระนามว่า พระเจ้าสังข์จักรจอมจักพรรดิ์แห่งนครอินทปัตต์ วันหนึ่งทรงทราบว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาใกล้ๆเมืองอินทปัตต์ทรงดีพระทัยยิ่ง จึงรีบเสด็จไปด้วยพระบาท
เพียงหนึ่งวันพระบาททั้งสองก็แตกช้ำ วันที่สามพระชงฆ์ก็แตกยับพระโลหิตนอง วันที่สี่ไม่สามารถเสด็จต่อไปได้แต่ด้วยพระวิริยะและจิตมุ่งมั่นที่จะเข้า เฝ้าจึงกระเถิบไปด้วยพระอุระ พระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยญาณทิพย์จึงแปลงเป็นมาณพหนุ่มขับเกวียนพาไปถึงที่ พำนักของพระพุทธเจ้า พระอินทร์และมเหสีทั้งสี่ได้แปลงเป็นหญิงชาย นำห่อข้าวทิพย์และน้ำทิพย์มาให้เสวย
เมื่อพระองค์หายบอบช้ำจึงเสด็จไปในพระวิหาร เพียงแรกพบพระพุทธเจ้าก็ทรงสลบลงด้วยความปลื้มปิติ เมื่อฟื้นพระวรกายจึงตรัสว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า" และมิได้ตรัสอะไรได้อีกด้วยความยินดีพระทัย พระองค์ขอสดับธรรมของพระพุทธเจ้าเพียงบทเดียวเพราะไม่มีสิ่งใดถวายบูชาพระ ธรรมเทศนา จึงทรงตัดพระเศียร (ศรีษะ) ด้วยพระนขา (เล็บ)ถวายเป็นพุทธบูชา
และในยุคของพระโคตมพุทธเจ้า พระศรีอาริยเมตไตรยทรงเป็นพระสงฆ์สาวกของพระโคตมพุทธเจ้า พระนามว่าพระอชิตเถระ ครั้งหนึ่งทรงได้รับพุทธยากรณ์ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต กล่าวกันว่าพระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น จะทรงตรัสรู้ที่ไม้กากะทิง มีพระชนม์ 8หมื่นพรรษา พระวรกายสูง 80 ศอก
พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ และองค์สุดท้ายแห่งภัทรกัปป์นี้ หลังจากที่ศาสนาของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระพุทธเจ้าของเราในปัจจุบัน สิ้นสุดไปแล้ว ซึ่งก็คือ พ.ศ. ๕๐๐๐ เป็นต้นไป
ในประวัติย่อของพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ผู้บำเพ็ญพระบารมีในชาติหนึ่ง ซึ่งปรากฏเป็นยอดปรมัตถบารมีอันประเสริฐ เกิดสำเร็จผล ทรงพระอภินิหาร ประกอบด้วยพระเดชามหานุภาพ เป็นพุทธสมบัติที่จะมาอุบัติตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิบพระองค์ในโลก ณ อนาคตกาลภายหน้า หรือ พระอนาคตวงศ์ กัณฑ์ที่ ๑ นั้น ได้กล่าวถึง พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระอชิตเถระ) ดังนี้
พระศรีอาริยเมตไตร (พระอชิตเถระ) กัณฑ์ที่ ๑ ตอนที่ 1
พระศรีอาริยเมตไตร (พระอชิตเถระ) กัณฑ์ที่ ๑ ตอนที่ 2
พระศรีอาริยเมตไตร (พระอชิตเถระ) กัณฑ์ที่ ๑ ตอนที่ 3
พระศรีอาริยเมตไตร (พระอชิตเถระ) กัณฑ์ที่ ๑ ตอนที่ 4
พระศรีอาริยเมตไตร (พระอชิตเถระ) กัณฑ์ที่ ๑ ตอนที่ 5
พระศรีอาริยเมตไตร (พระอชิตเถระ) กัณฑ์ที่ ๑ ตอนที่ 6
พระศรีอาริยเมตไตร (พระอชิตเถระ) กัณฑ์ที่ ๑ ตอนที่ 7
พระประวัติพระศรีอาริยเมตไตรย
พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตมาถือปฏิสนธิในตระกูลพราหมณ์ ในครรภ์ของนางเมตไตรยพรหมวดี ภรรยาของสุพรหมพราหมณ์ ปุโรหิตของพระเจ้าสังขจักรพรรดิ แห่งเกตุมดีนคร เมื่อทรงประสูติได้มีนิมิต ๓๒ ประการแล้ว ก็บังเกิดปราสาท ๓ หลังเพื่อเป็นที่ประทับ
พระองค์ได้เสวยสุขเป็นอันมาก เมื่อพระชนมายุ ๘,๐๐๐ ปี ทอดพระเนตรเห็นนิมิตทั้ง ๔ ทรงพอพระทัยในการบวช เสด็จขึ้นไปสู่ปราสาท ปราสาทก็ลอยขึ้นสู่อากาศ มาลงที่ใกล้โพธิมณฑล ท้าวมหาพรหมอัญเชิญอัฏฐบริขารมาถวาย พระโพธิสัตว์ทรงเอาพระขรรค์แก้วตัดพระเมาลี ทรงรับเครื่องอัฏฐบริขารที่ท้าวมหาพรหมนำมาถวาย ผนวชแล้วบำเพ็ญเพียร มีคนบวชตามเป็นอันมาก พระโพธิสัตว์ประทับนั่งเหนืออปราชิตบัลลังก์ในปฐมยาม ทรงบรรลุบุพเพนิวาสานุสติญาณในมัชฌิมยาม ทรงทำให้แจ้งทิพยจักษุญาณในปัจฉิมยาม ทรงพิจารณาปัจจยาการ ๑๒ ประการ ในเวลารุ่งอรุณ ทรงบรรลุซึ่งพระสัพพัญญุตญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใต้ต้นกากะทิง
พระองค์มีพระวรกายสูง ๘๘ ศอก พระองค์ใหญ่กว้าง ๒๕ ศอก ตั้งแต่ฝ่าพระบาทถึงพระชานุมีประมาณ ๒๒ ศอก ตั้งแต่ฝ่าพระบาทถึงพระชานุถึงพระนาภีประมาณ ๒๒ ศอก
ตั้งแต่พระนาภีถึงพระรากขวัญทั้ง ๒ ประมาณ ๒๒ ศอก ตั้งแต่พระรากขวัญถึงพระเศียรเกล้าที่สุด ยอดพระอุณหิตเปลวพระพุทธรัศมีนั้น ประมาณ ๒๒ ศอก เสมอกันทั้ง ๔ ส่วน พระรากขวัญทั้ง ๒ แต่ละอันนั้นยาว ๕ ศอก พระหัตถ์ทั้ง ๒ ซ้ายขวานั้นยาว ๔๐ ศอก
ระหว่างพระพาหาทั้ง ๒ ซ้ายขวานั้นมีประมาณ ๒๕ ศอก พระอังคุลีแต่ละอันยาว ๕ ศอก ฝ่าพระหัตถ์แต่ละข้างกว้าง ๕ ศอก พระศอโดยกลมรอบมีประมาณ ๕ ศอก ยาวก็ ๕ ศอก พระโอษฐ์เบื้องบนเบื้องล่างกว้าง ๑๐ ศอกเสมอกันเป็นอันดี
พระชิวหาอยู่ภายในพระโอษฐ์ยาว ๑๐ ศอก พระนาสิกสูงยาวลงมา ๗ ศอก ดวงพระเนตรทั้ง ๒ โดยกว้าง ๗ ศอก แววพระเนตรทั้ง ๒ ที่ดำกลมเป็นปริมณฑลอยู่นั้น มีประมาณ ๕ ศอก พระขนงแต่ละข้างยาวได้ ๕ ศอก
ระหว่างพระขนงทั้ง ๒ กว้าง ๔ ศอก พระกรรณทั้ง ๒ แต่ละข้างยาว ๗ ศอก ดวงพระพักตรกลมดังดวงจันทร์วันเพ็ญกลมได้ ๒๕ ศอก พระอุณหิตที่เวียนเป็นทักขิณาวัฏฏ์รอบพระเศียรเป็นเปลวพระพุทธรัศมีขึ้นไป นั้น โดยกลมรอบ ๒๕ ศอก ฯ
ส่วนต้นไม้กากะทิงที่เป็นไม้ศรีมหาโพธินั้นมีปริมณฑลไปได้ ๑๒๐ ศอก มีกิ่งทั้ง ๕ โดยรอบยาวได้ ๑๒๐ ศอก แต่ต้นขึ้นไปสุดปลายกิ่งนั้นได้ ๒๔๐ ศอก โดยสูงโดยสะกัดเป็นปริมณฑลเหมือนกัน มีใบสดเขียวอยู่เป็นนิจจกาล ทรงดอกและเกษรหอมฟุ้งขจรมิรู้ขาด เปรียบประดุจดอกปาริชาติในดาวดึงสาสวรรค์ก็เหมือนกัน ฯ
พระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า ทรงมีพระฉัพพรรณรังสีจากพระวรกาย ทำให้สว่างไสวทั้งกลางวันและกลางคืน คนทั้งหลายอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ระลึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ บริโภคข้าวสาลีที่เกิดจากพระพุทธานุภาพ
พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ได้ทูลถามถึงบุญบารมีที่พระศรีอริยเมตไตรยได้บำเพ็ญ พระพุทธเจ้าจึงตรัสเล่าถึงอดีตชาติของพระศรีอริยเมตไตรย เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นพระเจ้าสังขจักรพรรดิแห่งอินทปัตถนคร ในสมัยของพระสิริมิตรพุทธเจ้า วันหนึ่งได้พบสามเณรในสำนักพระสิริมิตรพุทธเจ้า จึงเสด็จมาเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ที่บุพพาราม แม้ทรงลำบากพระวรกายก็ไม่ทรงท้อถอย พระพุทธเจ้าเนรมิตเพศเป็นมาณพ เนรมิตรถเสด็จออกไปรับพระโพธิสัตว์มาสู่บุพพาราม พระโพธิสัตว์ได้ถวายศีรษะของพระองค์แด่พระพุทธเจ้า บูชาพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระองค์ แล้วไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต ด้วยอานิสงส์บารมี จึงทำให้ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ในสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันนี้ ได้เสวยพระชาติเป็นพระอชิตะเถระ พระพุทธเจ้าของเรานั้น ก็ทรงมีพุทธพยากรณ์ว่า พระอชิตะเถระผู้นี้ จะได้ตรัสรู้เป็นพระศรีอาริยเมตไตรยพระพุทธเจ้าในอนาคต
มนุษย์ในสมัยของพระศรีอาริย์
ศาสนาพุทธว่า พระศรีอริยะเมตไตร จะมาเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง มาในอนาคต โลกนี้จะมีความสงบสุข และพระศาสนาจะมีความรุ่งเรืองกว่า พระศาสนาของพระพุทธเจ้าในองค์ปัจจุบันนี้ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าจะมีพระอริยบุคคลมากกว่า และประชาชนจะมีความสุขอย่างยิ่ง คือจะไม่มีเรื่องร้อนใจเลย ทุกคนพอใจในความเป็นอยู่ ไม่มีการเบียดเบียน ตอนนอนไม่ต้องปิดประตูก็ได้ บ้านเลยไม่ต้องทำประตูก็ได้ เรื่องคนร้าย หรือขโมยก็ไม่ต้องกลัว แล้วก็คนจะเป็นคนดีเหมือนกันหมด ไม่มีคนพาล จนกระทั่งลงจากบ้าน ก็ไม่มีใครจำได้ว่าใครเป็นใคร เพราะมันดีเหมือนกันหมด มันสุภาพเหมือนกันหมด มันสวยเหมือนกันหมด จนเมื่อกลับเข้าบ้าน จึงจะจำได้ว่า นี่คือภรรยาของเรา นี่คือสามีของเรา นี่คือลูกของเรา และต้องการอะไรก็ได้ มันมีต้นไม้พิเศษที่เรียกว่า ต้นกัลปพฤกษ์ อยู่ทุกทิศ อยากได้อะไรก็ไปขอที่ต้นไม้ จะสะดวกสบาย แม้แต่การคมนาคม การไปการมา จนว่าน้ำในแม่น้ำนั้น จะไหลลงข้างหนึ่ง จะไหลขึ้นข้างหนึ่ง เพื่อจะสะดวกต่อการใช้เรือ มันเป็นเรื่องละเอียดมากๆ ไม่ต้องพูดหมด มันลำบากเปล่าๆ เอาแต่ใจความมา สรุปว่าไม่มีความทุกข์ อยู่กันเป็นผาสุก ไม่มีอันธพาล ทุกอย่างได้อย่างอกอย่างใจ ดังนั้นจึงมีคนปรารถนาจำนวนมากที่จะเกิดให้ทันในยุคของพระศรีอริยะเมตไตร และมีคำแนะนำว่าต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้แล้วจะได้ไปเกิดในศาสนาของพระศรีอริยะเมตไตร หรือแม้แต่บูชามหาชาติ หรือดอกไม้หนึ่งพันดอก หรือฟังให้ครบทั้งพันภาษา หรือทั้งพันคาถา อย่างนี้เป็นต้น
อ้างอิง:โลกพระศรีอารย์อยู่แค่ปลายจมูก,ผู้เขียน พุทธทาสภิกขุ,www.vcharkarn.com
ที่มาจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
No comments:
Post a Comment