พระราม
( ภควา “ เมตฺเตยฺยสฺส สาสนุกาเล อติกฺกนฺเต ตสฺส สทฺธมฺมปชฺโชโต อนฺตรธายิ มณฺฑกปฺเป ราโมจ ธมฺมราชาจ เทฺว พุทธา อุปฺปชฺชิสฺสนฺตีติ อิมํ สทฺธมฺมเทสนํ กเถสีตี ) ฯ
( อนุสนธิพระสัทธรรมเทศนา มีปุพพาปรสืบเนื่อง มาโดยลำดับ บัดนี้จะได้วิสัชชนาในประวัติกาลแห่งสมเด็จพระสัพพัญญูบรมครู พระพุทธเจ้าสามพระองค์ทรงพระนามว่า พระราม, พระธรรมราชา พระธรรมสามี. เป็นลำดับต่อไป ดำเนินเนื้อความว่า ภควา ) สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเทศนาแก่พระสารีบุตรสืบต่อไปว่า
ในกาลเมื่อพระพุทธศาสนา แห่งองค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยเสื่อมศูนย์สิ้นแล้ว อันว่าประทีปแก้ว คือพระสัทธรรมนั้น ก็ศูนย์สิ้น ฝูงสัตว์ทั้งหลายก็มืดมัวไม่รู้จักบาปและบุญคุณและโทษ ประโยชน์และใช่ประโยชน์ประการใด จนถึงไฟประลัยโลกล้าง วินาศฉิบหายสิ้นทั้งแสนโกฏิจักรวาล เพลิงประลัยกัลป์เกิดขึ้นไหม้แผ่นดินภัททกัลป์อันนี้ฉิบหายหมดแล้ว สิ้นกาลช้านาน จึงบังเกิดแผ่นดินขึ้นมาใหม่ มีมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายบังเกิดมีมาสำหรับแผ่นดิน
ก็มีมาเสียเปล่ากัปป์แผ่นดินที่มีมา ในเบื้องหน้านั้นเป็นสุญญกัปป์นับได้ อสงไขยแผ่นดิน จะได้มีสมเด็จพระพุทธเจ้า ปัจเจกพุทธเจ้า และพระยาจักรผู้ประเสร็ฐบังเกิดมีมานั้นหามิได้ จึงมีนามว่าสูญญกัปป์เกิดแก่มนุษย์ทั้งหลายหาบุญ หาวาสนาบารมีมิได้ ฯ เมื่อแผ่นดินเกิดขึ้นมาศูนย์เสียจากท่านผู้ทรงพระคุณแล้ว ฉิบหายไปด้วยไฟด้วยน้ำด้วยลม แล้วเกิดขึ้นใหม่อีกเล่า จนถ้วนอสงไขยแผ่นดินล่วงลับไป นับด้วยอสงไขยแผ่นดินแล้ว ฯ
ในกาลนั้น บังเกิดแผ่นดินขึ้นมาใหม่เรียกชื่อว่ามัณฑกัปป์ พระพุทธเจ้าจักได้บังเกิด ๒ พระองค์ คือพระรามโพธิสัตว์ ๑ พระเจ้าปเสนทิโกศล ๑ แรกปฐมกัปป์เกิด ก็มีอายุยืนได้อสงไขยหนึ่ง แล้วลดน้อยถอยลงมาอยู่เพียง ๙ หมื่นปี ฯ ครั้งนั้นพระรามโพธิสัตว์จะได้ตรัสเป็นพุทธเจ้าก่อน พระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์มีพนะชนมายุได้ ๘ หมื่นปี พระสรีรกายสูงประมาณได้ ๘๐ ศอก ไม้จันทร์เป็นไม้พระศรีมหาโพธิ
มีพระรัศมีส่องสว่างไปในอากาศอยู่เป็นนิจกาล ปรากฏงามเปรียบด้วยรัศมีของพระจันทร์สว่างทั่วโลกธาตุ ด้วยเดชะพระพุทธานุภาพนั้น โลกทั้งปวงบังเกิดมีไม้กัลปพฤกษ์ มหาชนได้อาศัยไม้ทิพย์นั้นประพฤติเลี้ยงชีวิตเป็นบรมสุขทุกเมื่อมิได้ขาด
ครั้งเมื่อพระพุทธศาสนาพระรามโพธิสัตว์สัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ฝูงสัตว์ทั้งหลายได้บังเกิดในสวรรค์เป็นอันมาก ดูก่อนสารีบุตรพระรามโพธิสัตว์เจ้า ได้บำเพ็ญกองบารมีทั้งหลายมาช้านานเป็นอันมากแล้ว แต่กองบารมีครั้งหนึ่งนั้น ปรากฏเป็นยอดปรมัมัตถบารมีอันประเสริฐ เพราะเหตุดังนั้นพระรามสัพพัญญูเจ้า จึงได้พระพุทธสมบัติเห็นปานดังนี้
สมเด็จพระศรีสรรเพ็ชญ์จึงตรัสพระสัทธรรมเทศนาแก่สารีบุตรว่า ในเมื่อครั้งพระศาสนาพระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระรามองค์นี้เป็นบรมโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ มีนามว่านารทมาณพ วันหนึ่งนารทมาณพได้ทัศนาการเห็นองค์พระพุทธกัสสปสัมพัญญูบรมครูเจ้าครั้ง นั้น ก็มีความโสมนัสส์ยินดีปรีดา คิดว่าจะกระทำสักการบูชาแก่พระองค์ให้เห็นศรัทธาของอาตมา มิได้คิดแก่ชีวิตอินทรีย์
คิดแล้วจึงเอาผ้า ๒ ผืนชุบน้ำมัน แล้วก็จุดไฟขึ้นบนศีรษะเป็นประทีปกระทำสักการบูชา ถวายแก่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า แล้วตั้งปณิธานความปรารถนาว่าข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระภาคเป็นอันงาม
อันว่าองค์อวัยวะน้อยใหญ่ในสรีรกายของข้าพระพุทธเจ้า คือเลือดเนื้อเป็นอาทิ กระทำเป็นทานถวายแก่พระองค์ในกาลบัดนี้ ปัจจโย โหตุ จงบังเกิดมีเป็นปัจจัย ให้อุปการะคุณ อุปถัมภกยกชูข้าพระเจ้าให้ได้สำเร็จแก่พระสร้อยสรรเพชุดาญาณ ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเถิด
ครั้งนั้นองค์สมเด็จพระพุทธกัสสปเจ้า จึงตรัสพยากรณ์ทำนายมาณพนั้น ในท่ามกลางบริษัททั้ง ๔ มีพระพุทธฏีกาว่า ดูก่อนมาณพผู้เจริญในเมื่อภัททกัปป์นี้ฉิบหายไปแล้ว บังเกิดมีกัปป์ตั้งขึ้นมาใหม่ เป็นสุญญกัปป์อยู่สิ้นกาลช้านาน นับได้อสงไขยแผ่นดินล่วงไปแล้วครั้งนั้นจึงบังเกิดมัณฑกัปป์ในกาลเบื้องหน้า คือตัวของมาณพนี้จะได้บังเกิดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระรามสัพพัญญูในมัณฑกัปป์อันนั้น พระองค์ทรงพยาการณ์ทำนายมาณพดังนี้แล้ว
ครั้นเวลาราตรียังรุ่ง ก็กระทำกายของมาณพ เป็นประทีปถวายต่างเครื่องสักการบูชาสมเด็จพระพุทธเจ้า เป็นอันดี ครั้นนารทมาณพดับจิต ก็ไปบังเกิดในดุสิตาสวรรค์เทวโลก ในที่เผาสรีรกายกระทำการสักการบูชาแห่งมาณพนั้น บังเกิดดอกบัวผุดขึ้นมา มหาชนเห็นเป็นอัศจรรย์จึงกล่าวสรรเสริญชมว่า จะหามนุษย์ผู้ใดเปรียบเสมอสองหามิได้ นานไปในอนาคตเบื้องหน้าจะได้ตรัสเป็นพระสัพพญญูเจ้าพระองค์หนึ่ง มั่นคงนักหนา ฝูงมหาชนก็ชวนกันมากระทำ สักการบูชาในที่เผาสรีรกายแห่งมาณพ ฯ
ดูก่อนสำแดงสารีบุตร พระรามโพธสัตว์นั้นนานไปก็จะได้บังเกิด เป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ด้วยผลอานิสงส์ที่ท่านมิได้เอื้อเฟื้อแก่สรีรกายและชีวิตของอาตมา กระทำเป็นมหาบริจากเจตนาอันใหญ่ยิ่งกว่าบารมีทั้งหลายทั้งปวง เป็นยอดปรมัตถบารมี ด้วยเดชะอานิสงส์ที่บูชาสรีรกายของอาตมานั้น
เมื่อได้ตรัสเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้า มีสรีรการสูง ๘๐ ศอก สละชีวิตเป็นทาน เป็นปรมัตถบารมีอันอุดมอุกฤษฐ์นั้น จะมีพระชนมายุได้ ๙ หมื่นปีเป็นกำหนด เวลาราตรียังรุ่งตามประทีปแล้ว คือ สรีรการของอาตมากระทำสักการบูชานั้น จะบังเกิดพระรัศมีรุ่งเรืองงามสว่างไปทั้งกลางวัน และกลางคืนเป็นนิจกาล อาจปกปิดเสียซึ่งแสงพระจันทร์และพระอาทิตย์ กระทำให้อัปภาคแพ้พระพุทธรัศมีของพระองค์ ฯ สำแดงมาด้วยเรื่องราวพระรามโพธสัตว์เคารพ ๒ ก็ ยุตติแต่เพียงนี้ ฯ
จบพระราม กัณฑ์ที่ ๒
No comments:
Post a Comment