บุญทำไมต้องอธิษฐาน โดย หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
ถาม : "หลวงพ่อคะ การทำบุญทุกอย่าง แต่ไม่ได้ปรารถนาอะไรเลย จะได้ไหมคะ...?"
ตอบ : ได้โยม ทำไมจะไม่ได้ คือถ้าไม่ตั้งมโนปณิธานปรารถนา บุญมันก็ต้องเป็นบุญ แต่ว่าอานิสงส์เบื้องปลายมันไม่เหมือนกัน
ถาม : "เป็นไงคะ...?"
ตอบ
: การปรารถนาจัดเป็นอธิษฐานบารมีนะ ตั้งใจว่าการทำบุญอย่างนี้เพื่อผลอะไร
อย่างที่ไม่ปรารถนาพุทธภูมิ ไม่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า
ไม่ปรารถนาเป็นอัครสาวก แต่ปรารถนาเพื่อการหมดกิเลส
ก็ชื่อว่ายังปรารถนาอยู่
ถาม : "ถ้าหากว่าทำเฉย ๆ เล่าคะ...?"
ตอบ : ถ้าหากว่าทำเฉย ๆ ไม่ปรารถนาอะไรเลย ตัวอย่างก็มีท่าน อาฬวีเศรษฐี
คือว่าท่านอาฬวีเศรษฐีพ่อท่านเป็นมหาเศรษฐี พอพ่อท่านตายลงท่านก็เป็นเศรษฐีแทน
เศรษฐีสมัยนั้นพระราชาต้องแต่งตั้ง แล้วต่อมาพวกขี้เมาก็ชวนกินเหล้าเมายา ในที่สุดทรัพย์สินก็หมดไป จนกระทั่งกลายเป็นขอทาน
วันหนึ่งพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์เสด็จไปที่เมืองอาฬวี
เห็นอาฬวีเศรษฐีนั่งขอทานอยู่ข้างฝาเรือนชาวบ้าน
พระพุทธเจ้าก็ทรงแย้มพระโอษฐ์
พระพุทธเจ้าตามปกติจะไม่แย้มพระโอษฐ์ ถ้ายิ้มแล้วต้องมีเรื่อง
พระอานนท์จึงทูลถามว่า
"พระองค์ยิ้มด้วยเรื่องอะไร พระพุทธเจ้าข้า...?"
พระพุทธเจ้าถามว่า
"อานนท์ เธอเห็นอาฬวีเศรษฐีไหม...?"
พระอานนท์มองไปมองมาไม่เห็น เห็นแต่ขอทาน พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ขอทานนั่นแหล่ะคืออาฬวีเศรษฐี
แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า
ถ้าอาฬวีเศรษฐีสมัยเมื่อเป็นเศรษฐี ถ้าฟังเทศน์ของเราเพียงจบเดียวจะได้บรรลุพระอนาคามี
เมื่อเงินน้อยลงมาเป็นอนุเศรษฐี ถ้าฟังเทศน์จากเราเพียงจบเดียวจะได้เป็นพระสกิทาคามี
เมื่อมีฐานะเป็นคหบดี ถ้าฟังเทศน์จากเราเพียงจบเดียวจะได้เป็นพระโสดาบัน
แต่ว่านี่อาฬวีเศรษฐีเป็นขอทานเสียแล้ว เราเทศน์จึงไม่มีผล
ตอนนี้พระอานนท์ทูลถามว่า
"ตามธรรมดาคนจะบรรลุมรรคผล องค์สมเด็จพระทศพลเคยตรัสว่าจะตายก่อนก็ยังไม่ได้ ต้องบรรลุมรรคผลก่อนนี่ พระพุทธเจ้าข้า...?"
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
"นั่นเขามี อธิษฐานบารมี"
ตอบ : เป็นอันว่าอาฬวีเศรษฐี ไม่มีอธิษฐานบารมีใช่ไหมโยม
ถาม : "ใช่ค่ะ"
ตอบ : คนจะได้ดี เลยไม่ได้ดี ต่อไปอธิษฐานเสียนะ.
คำอุทิศส่วนกุศล
"อิทัง
ปุญญะผะลัง" ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้
ข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี
ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้
ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าตั้งแต่วันนี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน
บทอุทิศส่วนกุศลท่อนแรกนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวร หลวงปู่โตท่านมาบอก และบทอุทิศส่วนกุศลอีก ๓ ท่อน ท่านพระยายมราชท่านมาบอก มีดังนี้
ท่อนที่สอง
และข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศส่วนกุศลนี้
ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า
และเทพเจ้าทั้งหลายทั่วสากลพิภพ และพระยายมราช
ขอเทพเจ้าทั้งหลายและพระยายมราชจงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยาน
ในการบำเพ็ญกุศลของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด
ท่อนที่สาม
และขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่ท่านทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว
ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี
ขอท่านทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุข
เช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
ท่อนที่สี่
ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้บำเพ็ญมาแล้ว
ณ โอกาสนี้
ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าทั้งหลายได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด.
เวลาอุทิศส่วนกุศล บอกให้พระยายมราชเป็นพยาน
เวลาอุทิศส่วนกุศล
ขอบอกให้ผม(พระยายม)เป็นพยานด้วย….ถ้าทำทั้งบุญทั้งบาป บางทีกรรมมันปกปิด
เวลาถามเรื่องบุญนี่มันนึกไม่ออก ถ้านึกไม่ออกก็มีความจำเป็นอย่างยิ่ง
จะต้องปล่อยให้ตกนรก หากว่าถาม 3 เที่ยว นึกไม่ออก…
..
ถ้าเขาถามเรื่องบุญกุศลถ้าบังเอิญนึกไม่ออก ผมจะเป็นพยานอ้างเองว่าทำอย่างนั้นๆไว้ แล้วก็ไล่ไปสวรรค์เป็นอย่างต่ำ
….ตำแหน่งพระยายม ท่านเป็นพรหม แต่เขตที่ท่านตั้งอยู่ในเขตของจาตุมหาราช ไม่ใช่เขตนรก
...
ที่มา : http://www.dhammathai.org/monktalk/dbview.php?No=374
...
No comments:
Post a Comment