2011-09-12

พระกรุวัดท่าเรือ นครศรีธรรมราช

วัดท่าเรือ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงเรียนนาฏศิลป์ เมืองนครศรีธรรมราช แต่จากหลักฐานในหนังสือใบลานผูก เขียนแบบสมุดข่อย ซึ่งสันนิษฐานว่าเขียนขึ้นโดยบัณฑิตในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา ระบุว่าวัดท่าเรือ หรือวัดท่าโพธิ์นี้ สร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าจันทรภาณุศรีธรรมาโศกราช โดยพระองค์ทรงสถาปนาวัดท่าเรือร่วมกับพระภิกษุชาวลังกา เพื่อประดิษ ฐานวิหารพระเจดีย์ รวมทั้งสร้างพระพิมพ์ ขนาดต่างๆ ขึ้น เพื่อฉลองสมโภชพระมหาเจดีย์ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ.1773

นอกจากนี้ ยังใช้เป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันอันตรายแก่ผู้ที่อาราธนาติดตัว โดยเฉพาะผู้มีหน้าที่ป้องกันชาติบ้านเมือง พระเจ้าจันทรภาณุศรีธรรมาโศกราชทรงมีสายพระเนตรอันยาวไกลที่จะให้ชนรุ่นหลังผู้ทำหน้าที่รักษาบ้านเมือง ได้นำติดตัวออกไปป้องกันภัยเมื่อยามจำเป็น จึงทรงผูกลายแทงไว้คู่กับวัดท่าเรือ

ต่อมาทวดศักดิ์สิทธิ์ วัดศาลามีชัย ได้แก้ลายแทงขุมทรัพย์วัดท่าเรือให้เจ้าพระยานคร (น้อย) และให้ทหารขุดเอาพระกรุท่าเรือไปป้องกันตัวในสงครามปราบกบฏเมืองไทรบุรี-กลันตันเป็นครั้งแรก ในปลายสมัยรัชกาลที่ 2 พระกรุวัดท่าเรือได้แสดงปาฏิหาริย์สามารถประกาศชัยชนะสยบศัตรูได้อย่างราบคาบ เจ้าพระยานคร (น้อย) ได้รับความดีความชอบเลื่อนยศขึ้นเป็นเจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราช (น้อย) องค์สุดท้ายของประวัติศาสตร์เมืองนครศรีธรรมราช

หลังจากนั้นได้อาราธนาพระกรุท่าเรือติดตัวในการทำสงครามอีกหลายต่อหลายครั้ง อาทิ สงครามมหาเอเชียบูรพา ปี พ.ศ.2484 เหล่าศัตรูเกรงขามในความคงกระพันชาตรีของทหารเมืองนครศรีฯ เป็นอย่างมาก แต่ในสมัยก่อนนั้น เมื่อเสร็จสิ้นสงครามแต่ละครั้งเหล่าทหารก็จะนำพระกลับไปคืนเก็บไว้ที่วัดดังเดิม โดยใส่ไหใส่ตุ่มฝังไว้บ้าง โยนไว้แถวเจดีย์ ใต้ต้นไม้ หรือบริเวณลานวัดบ้าง ด้วยยังเชื่อถือกันเคร่งครัดว่าพระต้องอยู่วัดเท่านั้น

กาลเวลาผ่านพ้นไป วัดท่าเรือได้แปรสภาพเป็นวัดที่รกร้างมาเป็นเวลายาวนาน ศาสนสถานและศาสนวัตถุต่างๆ ปรักหักพังเสื่อมโทรม องค์พระที่ทับถมอยู่ตามบริเวณต่างๆ ภายในวัด จนเมื่อกรมศิลปากรทำการปรับที่ดิน เพื่อสร้างวิทยาลัยนาฏศิลป์ประมาณปี พ.ศ.2519 ได้ขุดพบซากพระอุโบสถและอื่นๆ ตามที่ระบุในใบลานทุกอย่าง รวมทั้ง พระกรุวัดท่าเรือ เมื่อพุทธคุณเป็นที่ปรากฏก็ยิ่งเป็นที่สนใจแสวงหากันเพิ่มยิ่งขึ้น สนนราคาก็ขึ้นสูงตาม

พระกรุท่าเรือ ขุดพบจาก 2 แหล่ง คือ วัดโพธิ์ และวัดหัวมีนา ตำบลท่าเรือ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช โดยเป็นพระพิมพ์ที่ได้รับความนิยมเคียงคู่กับพระนาคปรกกรุวัดนางตรา จึงมักนิยมเรียกขานชื่อเรียงตามลำดับว่า พระนางตราท่าเรือ ทำให้นักสะสมเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพระกรุเดียวกัน

หากเป็นพระที่ขุดพบจากวัดโพธิ์ จะมีพระแผงพิมพ์ต่าง ขึ้น เช่น พิมพ์ผาลไถ, พิมพ์ปรกโพธิ์ พิมพ์ใหญ่, พิมพ์ปรกโพธิ์ พิมพ์เล็ก, พิมพ์วงเขน, พิมพ์ตรีกาย และพระปิดตา เป็นต้น น่าจะมีราว ๆ 16 พิมพ์ จะมีลักษณะเนื้อที่หยาบ และมีแร่กรวดทรายเจือปนอยู่มาก ที่เป็นพระเนื้อชินมีเป็นส่วนน้อยมาก ลักษณะพุทธศิลปะเป็นแบบอยุธยาตอนต้น แต่ถ้าเป็นกรุวัดหัวมีนา พิมพ์จะมีพระพิมพ์พุทธชินราช พิมพ์ใหญ่ และ พิมพ์เล็ก 2 แม่พิมพ์เท่านั้น จะมีเนื้อขาวน้ำนม และแดงมันปูออกสีไปทางกำแพง มีเนื้อละเอียดหนึกนุ่มกรวดทรายน้อย ความคมลึกชัดเจนดีมาก

แต่ที่นับว่าเป็น "พิมพ์นิยม" ได้รับการยอมรับและจัดให้เป็นพระอันดับหนึ่งในพระชุดไตรภาคี คือ "พิมพ์ปรกโพธิ์ พิมพ์ใหญ่" หรือ "พระซุ้มชินราช พิมพ์ใหญ่" ลักษณะองค์พระตัดกรอบแบบสี่เหลี่ยม พุทธลักษณะงดงามสง่า องค์พระประธานประทับนั่ง แสดงปางสมาธิ บนฐานบัวสองชั้น อยู่ภายในซุ้มเรือนแก้วแบบซุ้มชินราช มีปรกโพธิ์ปกคลุมเหนือซุ้ม บางครั้งจึงเรียกว่า "พระซุ้มชินราช"

จุดแตกต่างระหว่าง พระกรุท่าเรือ พิมพ์ใหญ่ และ พิมพ์เล็ก คือเสาซุ้ม ทั้ง 2 ข้าง หากเสาซุ้มที่คล้ายแจกัน ตั้งจรดที่กรอบพิมพ์ด้านล่างเป็นพิมพ์ใหญ่ แต่หากซุ้มจรดที่หัวเข่าทั้งสองด้านเป็นพิมพ์เล็ก

พระกรุท่าเรือพิมพ์ใหญ่มีจุดสำคัญอยู่ที่ซอกแขนด้านซ้าย จะมีเส้นแตกคู่ขนานแนวนอน 2 เส้น เป็นเส้นเรียวเล็กคมชัด ยากแก่การปลอมแปลง นอกจากนั้น ซุ้มเรือนแก้ว 2 เส้น ชั้นใจเส้นจะเล็กมาก และต่ำกว่าชั้นนอก รวมทั้ง เสาซุ้มด้านซ้าย (ขององค์พระ) จะสูงกว่าด้านขวา

ปัจจุบัน พระท่าเรือ ไม่ว่าจะเป็นพิมพ์เล็กหรือพิมพ์ใหญ่ กรุวัดโพธิ์ หรือกรุวัดหัวมีนา ก็ตาม ล้วนหายากมาก โดยเฉพาะสภาพสวยสมบูรณ์ เห็นรายละเอียดพระพักตร์ด้วยแล้ว ราคาเล่นหากันหลักแสนทีเดียว






ที่มา :

www.khaosod.co.th
www.tumsrivichai.com

ขอบคุณรูปและข้อมูลจาก หนังสือพระเครื่องล้ำค่าเมืองใต้ โดยคุณชัยนฤทธิ์ พันธุ์ทอง 
ขอบคุณเจ้าของพระเครื่องแต่ละองค์ที่มีรูปอยู่ในหนังสือ
ขอบคุณข้อมูลจาก คุณราม วัชรประดิษฐ์ ข่าวสด

No comments:

ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในเว็บไซด์ที่เป็นของ Andaman Amulet ไม่สงวนสิทธิ์ สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้
ข้อความและรูปภาพบางส่วน นำมาจากเว็บไซด์หลายแห่ง ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้

ติดต่อผู้จัดทำได้ที่ E-mail : skarnwigit@gmail.com


ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ผู้ขอมักเป็นที่รังเกียจ