2009-08-16

กรรมฐานสำหรับคนเกิดวันอาทิตย์

วันอาทิตย์ ตามโหราศาสตร์ ถ้าพูดถึงนิสัย หมายถึง นิสัยที่เย่อหยิ่ง ค่อนข้างจะถือตัว เข้าทำนอง ฆ่าได้ แต่หยามไม่ได้ และใจร้อน คล้ายๆลักษณะของดวงอาทิตย์ คือชอบอะไรเร็วๆ ช้าไม่เป็น กรรมฐาน ที่เหมาะสม คือ

๑. จตุธาตุววัตถาน คือการพิจารณาร่างกาย ให้เห็น เป็นแต่เพียงธาตุ ๔
๒. มรณัสสติ คือการนึกถึงความตายเป็นอารมณ์
๓. พรหมวิหาร คือการแผ่ความรักความสงสารไปยังเพื่อนมนุษย์
๔. วิปัสสนากรรมฐาน

- นิสัยเย่อหยิ่ง ถือตัว ต้องแก้ด้วย จตุธาตุววัตถาน, มรณัสสติ หรือ วิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้เห็นความจริงของร่างกาย จะได้คลายจากความถือตัวถือตนลง
- นิสัยใจร้อน ต้องแก้ด้วยการเจริญพรหมวิหาร เพื่อทำจิตใจให้เย็นลง

จตุธาตุววัตถาน
จตุธาตุววัตถาน คือการพิจารณาร่างกาย พิจารณาในแง่ที่ว่า ร่างกายนี้ ประกอบขึ้น จากธาตุทั้ง ๔ คือ

๑. ธาตุดิน ได้แก่ ส่วนที่เป็นของแข็ง เช่น กระดูก หัวกระโหลก เอ็น เป็นต้น พวกที่มีลักษณะแข็งทั้งหมดเรียกว่า ธาตุดิน
๒. ธาตุน้ำ ได้แก่ ส่วนที่เป็นของเหลว เช่น น้ำเลือด , น้ำหนอง, น้ำตา , น้ำเหงื่อ เป็นต้น ของเหลวทั้งหมด ที่มีอยู่ในร่างกายเรียกว่า ธาตุน้ำ เพราะมีลักษณะเหลว เหมือนน้ำ
๓. ธาตุไฟ ได้แก่ ความร้อน หรือความอบอุ่น ลักษณะความอบอุ่นในร่างกายเรา หรือ อุณหภูมิ, อุณหภูมิ คือความอบอุ่นในร่างกายเรียกกันว่า ธาตุไฟ
๔. ธาตุลม ได้แก่ อากาศที่เคลื่อนไหว คือลมหายใจ ที่หายใจเข้า หายใจออก คือธาตุลม ในกรรมฐานข้อนี้

มรณัสสติ
มรณัสสติ ก็คือการระลึก นึกถึงความตาย อันจะมาถึงตน ถ้าเราได้นึกถึงความตายอยู่บ่อยๆ มันจะช่วยทำให้ละคลายนิสัยที่ชอบสะสมไปได้มากทีเดียว เพราะลองคิดดูเถอะว่า คนเรา ที่เอาแต่สะสมนั้น ก็เพราะลืมคิดถึงเรื่องของความตาย คนเรา ต่อให้สะสมทรัพย์สิน ไว้มากมายขนาดไหนก็ตาม แต่พอตายลงวันใด สิ่งที่สะสมไว้ทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น ก็ไม่สามารถจะติดตามคนตายไปได้ ล้วนจะต้องทอดทิ้งทรัพย์สินเหล่านั้น ไว้ในโลกนี้ทั้งสิ้น

ฉะนั้น การหวงแหนทรัพย์สิน จนไม่ยอมสละ ให้เป็นทานเลย จึงไม่เป็นประโยชน์อันใด ใครที่มีนิสัย ที่ชอบตระหนี่ ไม่ชอบสละ ไม่ชอบให้ใคร จึงเหมาะกับกรรมฐาน ข้อ "มรณัส-สติ" อย่างมาก

การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
เรื่องของการเจริญวิปัสสนา หลักใหญ่ๆ ก็อยู่ที่ว่า ทำอย่างไร จึงจะมี สติเห็นความจริง เพิกถอนสิ่งสมมุติ ( คือความเป็นสัตว์บุคคล ตัวตนเราเขา ) ออกจากใจเสียได้แล้วเข้าไปเห็น ความจริง คือความเป็น รูป และ นาม เท่านั้น แค่นั้นยังไม่พอ เมื่อเห็นว่า ชีวิตของมนุษย์เรา มีแต่ธรรมชาติ ๒ อย่าง ที่เรียกว่า รูป และนาม แล้ว ก็จะต้องเห็นความจริงต่อไปว่า รูปและนามทั้งหลายเหล่านั้น ก็ล้วนมีความจริง อิงอาศัยอยู่… ความจริงที่ว่า ก็คือ ไตรลักษณ์ หรือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นเอง เมื่อเห็นรูปนาม โดยความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยประจักษ์ชัดแล้ว มันก็จะเกิดความเบื่อหน่าย ( นิพพิทา ) คลายความติดใจ ( วิราคะ ) และหลุดพ้น ( วิมุตติ ) จากการยึดมั่นถือมั่นในที่สุด…

พรหมวิหาร 4 คือการแผ่ความรู้สึกที่ดี 4 อย่าง ออกไปรอบๆตัว จนกระทั่งจิตใจเกิดความสงบ และเยือกเย็น ด้วยคุณธรรม

พรหมวิหาร ข้อแรก ก็คือ เมตตา ได้แก่ ความรัก ความปรารถนาดี ต่อเพื่อนมนุษย์ โดยเห็นว่า เพื่อนมนุษย์ทุกคน ล้วนเต็มไปด้วยทุกข์ กันคนละมากๆ ฉะนั้น มนุษย์ไม่ควรเบียดเบียนกัน ไม่ควรทำร้ายกัน ควรรัก และควรปรารถนาดีต่อกันให้มากๆ… นี่คือการแผ่เมตตา

พรหมวิหาร ข้อที่ 2 ก็คือ กรุณา ได้แก่ความสงสารต่อเพื่อนมนุษย์ เห็นใครทุกข์ยาก ก็อดที่จะสงสาร และคิดช่วยเหลือมิได้… นี่คือการแผ่กรุณา

พรหมวิหาร ข้อที่ 3 ก็คือ มุทิตา ได้แก่ ความพลอยยินดี เมื่อเห็นคนอื่น ได้ดีมีสุข ความรู้สึกในข้อนี้ จะช่วยจัด ความอิจฉาริษยาได้อย่างมาก ฉะนั้น ถ้าใครรู้ตัวว่า มีความอิจฉาริษยาในใจมาก ก็ควรเจริญมุทิตาให้มากๆ เวลาเห็นใครได้ดีมีสุข ก็ให้นึกในใจว่า ดีแล้วล่ะ ขอให้มีความสุขความเจริญ ยิ่งๆขึ้นไปเถิด แล้วจิตใจเราจะสงบเยือกเย็น จากแรงริษยา… นี่คือการแผ่มุทิตา

พรหมวิหาร ข้อสุดท้าย คือ อุเบกขา ได้แก่ความวางเฉย เรื่องของการแผ่อุเบกขา การที่ท่านวางไว้เป็นข้อสุดท้าย ก็เพื่อเป็นคุณธรรม ที่จะช่วยกั้นใจเรา ไม่ให้เป็นทุกข์ กับเรื่องราวของคนอื่น มากจนเกินไป โดยให้คิดถึงเรื่องกฎแห่งกรรมให้มาก ว่าแต่ละคน ล้วนมีกรรมเป็นของๆตน และเป็นไปตามกรรม ที่ตัวเองได้ก่อเอาไว้ทั้งสิ้น

ฉะนั้น ในเมื่อเราใช้เมตตาต่อคนอื่น อย่างถึงที่สุดแล้ว ยังช่วยอะไรเขาไม่ได้ ก็ต้องนึกถึงเรื่องกรรม แล้วางอุเบกขาซะ ใจเราก็จะสงบเย็นลงได้

ที่มา : ธรรมะไทย
โดย : อาจารย์บรรเจิด สังข์สวน

No comments:

ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในเว็บไซด์ที่เป็นของ Andaman Amulet ไม่สงวนสิทธิ์ สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้
ข้อความและรูปภาพบางส่วน นำมาจากเว็บไซด์หลายแห่ง ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้

ติดต่อผู้จัดทำได้ที่ E-mail : skarnwigit@gmail.com


ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ผู้ขอมักเป็นที่รังเกียจ