พระธรรมราช (พระเจ้าปเสนทิโกศล)
ลำดับนั้น พระผู้ทรงพระภาคเจ้าจึงตรัสพระสัทธรรมเทศนา แก่พระสารีบุตรสืบต่อไปว่า ในกาลเมื่อสิ้นศาสนาของพระรามเจ้าแล้ว มนุษย์ทั้งหลายในมัณฑกัปป์ ก็มีอายุเรียวน้อยถอยลงไปพ้นจาก ๘ หมื่นปีลงมา กำหนดอายุของมนุษย์ทั้งหลายกาลครั้งนั้น ๕ หมื่นปีเป็นอายุขัย แล้วพระเจ้ากรุงปเสนทิโกศลราชบรมโพธิสัตว์นี้ จักได้บังเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าพระธรรมราช มีพระองค์สูง ๑๖ ศอก พระชนมายุยืนได้ ๕ หมื่นปีเป็นกำหนด
ไม้กากะทิงเป็นพระมหาโพธิ เมื่อเสด็จพระพุทธดำเนินไปนั้น จะบังเกิดดอกบัวทองทั้งสองผุดขึ้นมาจากแผ่นดินเข้ารับรองเอาพระบาท อันว่าดอกบัวทั้งสองนั้น มีดอกใหญ่ประมาณเท่าจักร์รถ เกิดขึ้นมารับเอาฝ่าพระบาท อนึ่งจะบังเกิดดอกบัวแก้ว ๗ ประการผุดขึ้นมากแผ่นดินเข้ารับพระองค์ไว้ เป็นอาสนะของพระองค์เมื่อทรงนั่งและยืนและไสยาสน์นั้นประการหนึ่งเล่า
ในพระพุทธศาสนาพระเจ้าปเสนทิโกศลสัพพัญญูผู้เสริฐนั้น บังเกิดมีไม้กัลปพฤกษ์ต้นหนึ่งให้สำเร็จประโยชน์เป็นเครื่องบริโภคแห่ง มนุษย์ทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลายได้อาศัยซึ่งไม้กัลปพกฤษ์นั้นแล้ว ก็ประพฤติเลี้ยงชีวิตอาตมาเป็นสุขสบาย มิได้กระทำการถากไร่ไถนาค้าขาย ด้วยพระพุทธานุภาพแห่งสมเด็จพระเจ้าปเสนทิโกศลสัพพัญญูนั้น
ดูก่อนสำแดงสารีบุตร พระเจ้าปเสนทิโกศลราช ได้ก่อสร้างพระบารมีทั้งหลายมาเป็นอันมากแล้ว แต่กองบารมีครั้งหนึ่งปรากฏเป็นปรมัตถบารมีอันยิ่ง จึงได้พระพุทธสมบัติเป็นปานดังนี้ พระองค์จึงนำมาซึงอดีตนิทานแห่งกองบารมีของพระเจ้าปเสนทิโกศลราชว่า อตีเต กาเล ในกาลเมื่อครั้งพระศาสนาพระโกนาคมน์สัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระเจ้ากรุงโกศลราชได้บังเกิดเป็นมาณพผู้หนึ่ง มีนามว่า สุททมาณพ ไปรักษาซึ่งสระบัวอยู่แห่งหนึ่ง แล้วเก็บเอาดอกบัวนั้นมาวันละสองดอกเอามาขายเสี้ยงชีวิตทุกวัน
มาวันหนึ่งสุททมาณพไปเก็บดอกบัวมาสองดอก เดินมาตามมรรคเพื่อว่าจะขายดอกบัวนั้น ในกาลนั้นเป็นเวลาเช้า สมเด็จพระโกนาคมน์สัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดำเนินไปเที่ยวโคจรบิณฑบาต ทอดพระเนตรเห็นสุททมาณพ พระองค์พิจารณาเห็นในขณะนั้น ก็ทรงทราบด้วยพระญาณว่า สุททมาณพคนนี้เป็นวงศ์แห่งสมเด็จพระพุทธเจ้า ได้บำเพ็ญพระบารมีมามากอยู่แล้ว จะได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาล
บัดนี้ ควรพระตถาคตจะให้พยากรณ์ทำนาย แก่สุททมาณพในท่ามกลางมหาชนเถิด ทรงพระจิตนาดังนี้แล้วก็เกิดโสมนัสส์จิตอันประกอบกับพระญาณ แย้มพระโอษฐ์อันงามทรงพระสรวลในดวงพระพักตร์ สุททมาณพเห็นสมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าเบิกบานแย้มพระโอษฐ์ดังนั้น
จึง กระทำนมัสการกราบทูลถามว่า ข้าแต่พระโลกนาถผู้ประเสริฐ ข้าพระบาทนี้ใช่ญาติวงศ์หพงศ์ตระกูลของพระผู้ทรงพระภาคเจ้า อนึ่งเล่าจะได้เป็นมิตรสหายวิสสาสะคุ้นเคยกันกับพระองค์ก็หามิได้ เหตุประการใดหรือ พระองค์ทอดพระเนตรแล้วแย้มพระโอษฐ์ดังนี้
สมเด็จพระสัมมาสัมพัญญูเจ้าจึงมีพระพุทธฏีกาตรัสว่า ดูก่อนสุททมาณพเอ๋ย ท่านหารู้ไม่หรือประการใด ตัวของท่านแหละเป็นน้องของพระตถาคต ท่านร่วมบิดามารดาเดียวกันกับพระตถาคตเป็นไรเล่า สุททมาณพ ได้สดับพระพุทธฏีกาดังนั้น ก็ยิ่งบังเกิดความพิศงงงงวยไป แล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระบาทนี้เป็นน้องของพระองค์ในกาลเมื่อครั้งใด จึงพยากรณ์ทำนายว่า ดูก่อนสุททมาณพ ในเมื่อภัททกัปป์อันนี้ล่วงไปแล้วช้านาน
บังเกิดมีกัปป์อันหนึ่งชื่อว่ามัณฑกัปป์ ในมัณฑกัปป์นั้น พระพุทธเจ้าบังเกิดสองพระองค์ คือพระรามพระองค์หนึ่งจักได้บังเกิดเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าก่อนท่านในเมื่อ สิ้นพระศาสนาพรารามเจ้าแล้วได้พุทธธันดรหนึ่ง ตัวท่านสุททมาณพ ครั้งนั้นจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมพัญญูสัมมาพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าพระธรรมราชผู้ประเสร็ฐพระองค์หนึ่ง
บัดนี้พระตถาคตเป็นพระพุทธเจ้าเสียก่อนท่านแล้ว นานไปในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้น ตัวท่านก็จักเป็นพระพุทธเจ้า เหมือนดังพระตถาคตต่อภายหลัง เหตุดังนั้น พระตถาคตจึงว่าท่านเป็นน้องของพระตถาตคต ฯ เมื่อสุททมาณพได้สดับพระพุทธฏีกาพยาการณ์ทำนายดังนั้น ก็เกิดความปสันนาการเลื่อมใสโสมนัสส์อย่างที่ยิ่ง จึงดำริว่าบัดนี้มีชีวิตอยู่ด้วยมูลค่าแห่งดอกบัว ๒ ดอกเท่านี้ จะได้มีสิ่งอื่นนอกจากดอกบัวหามีไม่แล้ว ควรอาตมาจะเสียสละชีวิต ยกดอกบัวสองดอกนี้กระทำเป็นสักการบูชาถวายสมเด็จพระพุทธเจ้าเถิด
สุททมาณพคิดดังนี้แล้ว ก็ก้มเศียรเกล้าลงน้อมนำดอกบัวเข้าไปถวายแก่สมเด็จพระโกนาคมน์เจ้า ด้วยเจตนาของอาตมานั้นเป็นสิ้นสุดศัทธาแต่เท่านั้น สมเด็จพระโกนาคมน์เจ้าจึงเสด็จขึ้นทรงนั่งในเบื้องบนแห่งดอกบัวทั้งสองนั้น ส่วนว่าสุททมาณพได้เห็นพระพุทธปาฏิหาริยะก็พิศวงว่า สมเด็จพระผู้ทรงพระภาคเจ้าเสด็จขึ้นทรงนั่งเหนือดอกบัวนี้
ในเบื้องบนหาสิ่งจะปิดบังแสงพระอาทิตย์ไม่จะคิดเป็นประการใด จึงจะมิให้แสงพระอาทิตย์อันร้อนมาถูกต้องพระผู้ทรงพระภาคได้ สุททมาณพจึงเอาไม้อ้อมาสี่ลำ กระทำเป็นเสาดาดด้วยผ้าสองผืนบังแสงพระอาทิตย์ไว้ ให้สมเด็จพระโกนาคมน์เจ้าทรงนั่งอยู่ในที่นั้น
ประมาณสิ้นกลางวันกลางคืนยังรุ่งแล้ว กระทำปณิธานความปรารถนาว่า ข้าพระพุทธเจ้าได้ถวายดอกบัวสองดอกกับผ้าสองผืนนี้ เป็นเครื่องสักการบูชาแก่พระองค์ตามยากตามมี เดชะผลทานนี้ขอให้เป็นปัจจัยได้สำเร็จแก่พระสร้อยสรรเพชุดาญาณในอนาคตกาล โน้นเถิด ฯ
ครั้งนั้น สมเด็จพระโกนาคมน์เจ้า จึงตรัสพระสัทธรรมเทศนาพยากรณ์ทำนายเป็นใจความว่า ความปรารถนาของท่านที่คิดไว้ประการฉันใด “ จงสำเร็จแก่ท่านโดยเร็วด้วยประการฉันนั้น ” พระสุรสำเนียงพระพุทธสัพพัญญูเจ้าที่ตรัสว่า จงสำเร็จนั้น ดังสนั่นถึงภายใต้ที่อยู่แห่งพระยาภุชงค์นาคราชเบื้องบนจนกระทั้งพรหมโลก ฝูงเทพดาอินทร์พรหมยมยักษ์ทั้งหลายได้ยินทั่วกัน แล้วออกจากพิภพของอาตมามายังสำนักพระโกนาคมน์เจ้า แล้วก็ถวายนมัสการกราบทูลถามว่า
“ พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้สดับพระสุรสำเนียงของพระองค์ตรัสพระสัทธรรมเทศนา ว่าสำเร็จนั้น ด้วยเหตุผลสิ่งไร บุคคลใดหรือสำเร็จ พระพุทธเจ้าข้า ”
จึงมีพระพุทธฏีกาตรัสว่า ดูก่อนฝูงเทพดาผู้เจริญ สุททมาณพผู้นี้ได้ถวายดอกบัวกับผ้าแก่พระตถาคต ยังพระตถาคตให้นั่ง ได้บังแสงแดดสิ้นเวลากลางวัน ได้บังน้ำค้างสิ้นเวลาราตรียังรุ่ง มีความปรารถนาจะให้ได้พระสัพพัญญุตญาณ ในอนาคตกาลเบื้องหน้า พระตถาคตทำนายว่า อิจฺฉิตํ อิจฺฉิตํ จงสำเร็จตามความปรารถนาของสุททมาณพเถิด
ฝ่ายฝูงเทพดามหาพรหมทั้งหลายก็กระทำสักการบูชา พากันโถมนาการด้วยองค์สมเด็จพระโกนาคมน์เจ้าเป็นอันมาก ฯ นี่แหละ ดูก่อนสารีบุตร เมื่อพระธรรมราชสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสนั้น จึงบังเกิดดอกบัวทองทั้งคู่ ประทาณเท่าจักร์รถ
ผุดขึ้นมาแต่พื้นแผ่นดิน เข้ารับรองฝ่าพระบาทไว้ในเมื่อยกย่างไปมาทุกก้าวพระบาทนั้น ด้วยอานิสงส์ที่ได้ถวายดอกบัวแก่องค์สมเด็จพระโกนาคมน์เจ้า ที่บังเกิดมีไม้กับปพฤกษ์นั้น ด้วยอานิสงส์ขันติอดใจของสุททมาณพบรมโพธิสัตว์
เมื่อพระธรรมราชสัพพัญญูเจ้าเสด็จทรงนั้งก็ดี ยืนก็ดี ไสยาสน์ก็ดี ณ ที่นั้น ๆ บังเกิดมีห้องแก้ว ๗ ประการ ควรจะชื่นชมยินดีนั้น ด้วยผลทานที่กระทำเพดานผ้าบังแดดและน้ำค้างถวายแก่พระโกนาคมน์เจ้า ในกาลเมื่อยังเป็นสุททมาณพ เมื่อพระองค์ได้ตรัสนั้น มีชนมายุยืนได้ ๕ หมื่นปี แล้วล่วงลับดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน ฯ แสดงมาด้วยเรื่องราวแห่งพระเจ้าปเสนทิโกศลทิราชบรมโพธิสัตว์คำรบ ๓ ก็ยุตติแต่เพียงนี้ ฯ
จบพระธรรมราช (พระเจ้าปเสนทิโกศล) กัณฑ์ที่ ๒
No comments:
Post a Comment