2009-04-26

ประวัติราหู (ตอนที่ 2)

อ่าน ประวัติราหู (ตอนที่ 1)

ในขณะที่กำลังบดยาทิพย์ด้วยความขะมักเขม้น เหล่าเทวดาทั้งหลายก็ออกอุบายให้ยักษ์และมารทั้งปวงออกกำลังดึงแต่ฝ่ายดียว เมื่อถึงคราวที่ฝ่ายตนจะดึงก็พากันใช้นิ้วเอื้อมไปแหย่สะดือพญานาค เมื่อพญานาคโดนแหย่สะดือ ก็ให้รู้สึกแสยง ยกตัวให้สั้นลง ในขณะที่ยักษ์ทั้งหลายดึงอยู่ด้วยก็ทำให้เขาพระสุเมรุหมุนไปทางเทวดา ทำให้ดูประหนึ่งว่าเทวดาดึงให้หมุนด้วยกำลัง และเป็นจังหวะที่เทวดาทั้งปวงส่งเสียงให้เหมือนว่ากำลังจะออกแรงอย่างเต็ม ที่ ทำอยู่ดังนี้ตลอดไป เจ็ดปี เจ็ดเดือน และเจ็ดวัน ครั้นเมื่อยาทิพย์ปรุงสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว เทพฤๅษี พญาครุฑ พญานาค ยักษ์มาร ทั้งหลายก็พากันอ่อนแรงไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เหล่าเทวดาทั้งหลาย เห็นได้ทีก็ชิงเอายาทิพย์ทั้งหลายเหาะขึ้นไปยังทิพย์วิมานของตน

กล่าวฝ่ายพญามาร ยักษ์ ครุฑ และนาคทั้งหลาย เมื่อได้สติฟื้น ก็ได้พากันมาสำรวจดูยาทิพย์ จึงได้รู้ว่าหายไปหมดแล้วพร้อมกับหมู่เทวดาทั้งปวง ก็พากันโกรธแค้นเทวดา แต่ก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้ เพราะครูฤๅษีได้ห้ามไว้ว่า เมื่อเทวดานั้นได้กินยาทิพย์นั้นเข้าไปแล้วจักเป็นผู้มีเดช มีอานุภาพมาก และฆ่าก็จะไม่ตาย เราทั้งหลายไม่สามารถต่อกรได้ มารทั้งหลายต่างฝ่ายต่างก็เก็บเอาความเจ็บแค้นเอาไว้ในอุรา แล้วพากันกลับไปยังที่อยู่ของตนในหมู่ของมารทั้งหลาย

ยังมียักษ์ตนหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า อสุรินทรราหู ซึ่งเป็นบุตรของนางยักษ์ชื่อวิปจิตกับเทพชื่อพฤหัส ได้ครุ่นคิดเคียดแค้นแน่นอยู่ในอก คิดหาวิธีที่จะชิงเอายาทิพย์กลับคืนมาจากเทวดาให้ได้คิดไปคิดมาจึงนึกขึ้นมา ได้ว่า บิดาของเราคือพระพฤหัส ซึ่งเป็นเทวดา ถึงเราจะมีมารดาเป็นยักษ์แต่เราก็มีเลือดของพ่ออยู่ด้วย ถ้าเราแปลงกายเป็นเทพไปเข้าร่วมหมู่ของเทวดาเพื่อจะขอแบ่งยาทิพย์ พวกเทพเหล่านั้นคงจะจับเราไม่ได้ ถึงแม้ว่าพวกเทพเหล่านั้นจะสามารถสัมผัสกลิ่นอันเป็นทิพย์ได้ เราก็มีกลิ่นกายของเทวดาอยู่ในตัวเหมือนกัน พวกมันคงจะไม่รู้หรอกน่า ว่าเราแปลงกายไป

คิดดังนั้นแล้วอสุรินทรราหูร่ายเวทย์จำแลงกายเป็นเทวดาแล้วก็เหาะขึ้นไปสู่ เทวสภาพร้อมกับเข้าไปสู่หมู่ของเทวดาทั้งหลายเพื่อขอส่วนแบ่งยาทิพย์ ขณะนั้นเหล่าเทวดาทั้งหลายก็กำลังประชุมฉลองชัยชนะที่สามารถใช้กลอุบายเอา ชนะพญามารและยักษ์ทั้งหลายได้ พร้อมกับชิงเอายาทิพย์มาเป็นของตน ได้สำเร็จ และแจกจ่ายยาทิพย์ให้แก่เหล่าเทวดาทั้งหลายขณะนั้นอสุรินทรราหู จำแลงก็ได้รับส่วนแบ่งยาทิพย์กับเขาด้วย มิทันช้า อสุรินทรราหูจำแลงก็รีบกลืนยาวิเศษนั้นทันที ยาก็ได้สำแดงเดช ทำให้อสุรินทรราหูและเทวดาทั้งปวงมีอาการมึนเมาไปกันทั่วหน้ามนต์ที่จำแลง แปลงกายก็คลายออก เทพอาทิตย์และจันทร์ได้สังเกตเห็นว่า อสูรแปลงกายมากินยา ก็พากันโวยวายและเรียกพวกเทวดาให้ช่วยกันจับ เป็นที่ตะลุมบอนโกลาหล แต่ก็หาจับได้ไม่เมื่อจับเป็นไม่ได้ ก็ต้องจับตาย เหล่าเทวดาทั้งหลายก็พากัน รุมตีฟันอสุรินทรราหู เป็นการใหญ่ แต่ก็หาได้ทำอันตรายแก่อสุทริราหูได้ไม่ แถมยังแสดงเดชา รุกรบ ต่อยตี หมู่เทวดาทั้งหลายจนพ่ายแพ้หนีกระเจิดกระเจิง เหล่าเทพและเทวดาทั้งหลายก็พากันวุ่นวาย (ถ้ามีคำถาม ถามว่าก็ไหนเมื่อเทพเหล่านั้น ก็ได้กินยาทิพย์เหมือนกัน แต่ทำไมถึงสู้ยักษ์ตนเดียวไม่ได้ ข้อนี้ต้องวินิจตรงชื่อ คงจะเข้าใจได้ง่ายดี ที่ว่าต้องวินิจฉัยตรงชื่อก็เพราะ ตามความหมายของคำว่ายักษ์หรืออสูร แปลว่า ผู้ไม่พ่ายผู้มีเดช ผู้มีอำนาจ ผู้มีกำลัง ส่วนคำว่า เทวดา เทพ แปลว่า ผู้มีรูปสวย ผู้มีบุญ ผู้มีสุข ผู้มีวาสนา)เพราะฉะนั้น เหล่าเทวดาถึงจะมีจำนวนมาก แต่ก็หาได้มีกำลัง มีเดชเท่ากับอสูรไม่

เมื่ออสุรินทรราหู ได้ชัยชนะแก่หมู่เทวาดา ก็มีจิตกำเริบ ไล่ทำร้ายและทำลายอาละวาดไปทั่วแดนสวรรค์ ข้างฝ่ายพระอาทิตย์และเทพจันทรเห็นท่าไม่ดีก็เหาะไปเฝ้า พระนารายณ์ ทูลเรื่องทั้งหลายให้เทพผู้เป็นใหญ่ได้ทรงทราบ พระนารายณ์เป็นเจ้าได้ทรงสดับรับฟังแล้วก็ทรงกริ้ว ทรงบริภาษด้วยวาจาที่เกริ้ยวกราดว่า "ไอ้อสูรตัวขลาด บังอาจกำเริบขึ้นมาราวีบนแดนสวรรค์เชียวหรือ"ว่าแล้วก็ทรงขว้างจักรแก้วออก ไปตัดร่างของอสุรินทรราหู ขาดเป็นสองท่อน ท่อนขาถึงบั้นเอวก็หลุดกระเด็นออกไปนอกจักรวาล เหลือแต่ท่อนหัวกับตัว ถึงกระนั้น ก็มิอาจทำให้อสุรินทรราหูถึงแก่ความตายได้ไม่

และด้วยความตกใจกลัว อสุรินทรราหู ก็เหาะหนีมายังที่อยู่ของตน และพกพาความโกรธแค้นอาทิตย์และจันทร ที่เป็นเหตุให้เกิดเรื่องวุ่นวายบนสวรรค์ และเป็นเหตุให้กายของตนขาดเป็นสองท่อน อสุรินทรราหู กลับมาคิดแค้นต่อเทพอาทิตย์ และจันทรว่าเพราะ เทพสองตนนี้ทีเดียวเป็นผู้บอกให้เหล่าเทวารุมทำร้ายตน และเป็นเพราะเทพสองตนนี้อีกเหมือนกันที่เป็นผู้ไปบอกองค์นารายณ์จนเป็นเหตุ ให้ข้วางจักรแก้วมาตัดร่างตนถึงกับขาดเป็นสองท่อน ความอัปยศ อดสูและเจ็บช้ำนี้ เราจะตอบแทนคืนให้เทพทั้งสอง อย่างสาสมณ บัดนั้นเป็นต้นมา อสุรินทรราหูก็เฝ้าคอยที่จะหาโอกาสราวี แก่อาทิตย์และจันทรอยู่ตลอดเวลา มีอยู่ครั้งหนึ่งเทพอาทิตย์และจันทร จะไปประชุมยังเทวสภา ระหว่างทางอสุรินทรราหูได้มาคอยดักทำร้ายเทพทั้งสองก็เหาะหนี จวนเจียนหนีไม่พ้น แต่เผอิญเหาะมาทางทิศที่ตั้งแห่งภูเขาไกรลาศ ซึ่งเป็นที่อยู่ของบิดรเทพ คือ เทพผู้เป็นพ่อของเทพทั้งหลาย เทพอาทิตย์และจันทรก็เหาะหนีเข้าไปยังที่อยู่ของบิดรเทพ

อสุรินทรราหู ตามมาติดๆ เมื่อเห็นว่าศัตรูของตนหนีไปพึ่งผู้มีเดชรุ่งเรืองเช่นนี้ อสูรก็มาหยุดคิดว่าเพราะคราวที่แล้วเราผลีผลามรุกไล่ติดตามเทพทั้งสองไปโดย ไม่ได้ดูตาม้าตาเรือ จนเป็นเหตุให้กายเราขาดเป็นสองท่อน เที่ยวนี้ขืนติดตามมันเข้าไปอีก อาจหัวขาดออกจากตัวอีกก็ได้ คิดดังนั้นแล้ว ก็คำรามด้วยความเคียดแค้นว่าฝากไว้ก่อนนะไอ้ขี้ขลาด คราวหน้าถ้าเห็นอีก ข้าจะกินเสียให้หนำใจว่าแล้วก็เหาะกลับไปยังที่อยู่ของตน

ฝ่ายเทพบิดร เมื่อเห็นอาทิตย์และจันทรเทพเหาะมาสู่ยังที่พักของตนอย่างลุกลี้ลุกลน ก็ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย เทพทั้งสองจึงเล่าแจ้งแถลงไขให้ทรงทราบ และขอร้องให้เทพบิดรทรงช่วย พระบิดรจึงทรงเนรมิตอาชาสีแดงพร้อมราชรถให้แก่อาทิตย์เทพ และเนรมิตอาชาสีขาว ๘ ตัวพร้อมราชรถให้แก่จันทรเทพ

ประทานให้เอาไว้เป็นพาหะหลบหนีอสูร แล้วทรงสั่งว่าคราใดที่ท่อนขาของอสุรินทรราหูลอยมาติดตัว ท่านทั้งสองจะต้องโดนอสูรกลืนกินกล่าวฝ่ายอสุรินทรราหู เมื่อไม่สามารถจะทำร้ายอาทิตยเทพและจันทรเทพได้ดังหวัง ก็ให้รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่าน จึงเหาะขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์ ไปอาละวาดไล่ทำร้ายเหล่าเทวดาทั้งหลายจนเป็นที่หนำใจแล้วก็เหาะกลับยังที่ อยู่ของตน

ครั้นอสุรินทรราหูไปแล้ว เทพและเทวดาทั้งหลายก็ออกจากที่ซ่อนไปเฝ้าพระนารายณ์ยังเทวสภาแล้วประชุม ปรึกษาว่าจะทำการป้องกันไม่ให้อสุรินทรราหูมาไล่ทำร้ายได้อย่างไรองค์อินทร์ ก็ทรงตรัสว่า สรรพสิ่งในโลกเมื่อมีจุดเด่นก็ต้องมีจุดด้อย อสูรตนนี้ถึงมันจะกินยาทิพย์ฆ่าฟันไม่ตายแต่ก็ต้องมีวิธีทำลายอาถรรพ์และทำ ร้ายชีวิตมันได้เหมือนกัน อยู่ที่ว่าใครจะเป็นผู้ไปล้วงเอาความลับนี้มาได้

เหล่าเทวะทั้งหลายพากันนิ่งเงียบและนั่งก้มหน้า ไม่มีผู้ใดที่จะขันอาสา เวลาผ่านไปสักครู่ ก็มีเสียงดังก้องกังวาลมาทางด้านท้ายแถวว่า ข้าพเจ้าท้าวจาตุมมหาราชทั้ง ๔ ขอขันอาสาที่จะไปล้วงความลับของอสูรตนนี้

อ่าน ประวัติราหู (ตอนที่ 3)


ที่มา โดย ASTV ผู้จัดการออนไลน์

No comments:

ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในเว็บไซด์ที่เป็นของ Andaman Amulet ไม่สงวนสิทธิ์ สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้
ข้อความและรูปภาพบางส่วน นำมาจากเว็บไซด์หลายแห่ง ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้

ติดต่อผู้จัดทำได้ที่ E-mail : skarnwigit@gmail.com


ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ผู้ขอมักเป็นที่รังเกียจ