( สตฺถา “ สาริปุตฺต ธมฺมสามีสมฺมาพุทธสฺ สสาสนกาเล อติกฺกนฺเต มหาปฐวิยา โยชนมตฺตํ อภิรุฬฺหาย มณฺฑกปฺเป นารโท จ รงฺสิมุนิ จ เทฺว พุทฺธา อปปชฺชิส สนฺตีติ อิมํ ธมุมเทสนํ กเถสีติ ฯ )
( อนุสนธิพระสัทธรรมเทสนา มรปุพพาปรสืบเนื่องมาโดยลำดับ บัดนี้จะได้วิสัชชนาในประวัติกาลแห่งสมเด็จพระบรมศรีสุคตทสพลญาณ สี่พระองค์ทรงพระนามว่า พระนารท, พระรังสีมุนีนาถ, พระเทวเทพ, พระนรสีหะ, เป็นลำดับต่อไป ดำเนินเนื้อความว่า )
สตฺถา สมเด็จพระบรมครูสัพพัญญูเจ้าของเราตรัสพระสัทธรรมเทศนาว่า ในกาลเมื่อสิ้นศาสนาพระยามาราธิราช ผู้เป็นพระธรรมสามีสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว โกลทั้งหลายจะศูนย์จากสมเด็จพระพุทธเจ้าสิ้นกาลช้านานถึง ๘ กัปป์ แผ่นดินตั้งขึ้นมาใหม่ ได้แสนแผ่นดิน ๆ นั้นศูนย์เปล่าเป็นสูญญกัปป์ หาบังเกิดสมเด็จพระพุทธเจ้าไม่
ในเมื่อสูญญกัปป์ นับได้แสนแผ่นดินล่วงไปแล้ว จึงบังเกิดแผ่นดินขึ้นมาใหม่ มีนามว่ามัณฑกัปป์นั้น เป็นแผ่นดินทรงพระเจ้าได้ตรัส ๒ พระองค์ คือพระยาอสุรินทราหู ๑ โสณพราหมณ์ ๑ อันว่าพระอสุรินทราหูจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน ลำดับนั้นโสณพราหมณ์จักได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสืบไป ฯ
เมื่อพระยาอสุรินทราหูได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ทรงพระนามว่าพระนารทะ มีพระองค์สูงได้ ๒๐ ศอก มีพระชนมายุยืนได้หมื่นปี เป็นกำหนด มีไม้จันทร์เป็นพระมหาโพธิประกอบไปด้วยรัศมีสว่างรุ่งเรืองทั้งกลางวันกลาง คืน เปรียบประดุจดังสายฟ้าในกลีบเมฆ พระพุทธรัศมีที่เป็นแผ่นแผ่ทึบเป็นแท่งเดียวนั้น ปรากฏสัณฐานดุจดอกปทุมชาติอันตั้งขึ้นมา
ครั้งศาสนาพระยาอสุรินทราหูนั้น ในประเทศแผ่นดินทั้งปวงเกิดรสภักษาหาร ๗ ประการ มนุษย์ทั้งหลายได้บริโภคภักษาหาร ๗ ประการ อันเกิดแก่แผ่นดิน ก็ประพฤติเลี้ยงชีวิตของอาตมา เป็นสุขสำราญมิได้ขาด ดูก่อนสำแดงสารีบุตร อันว่าพระนารทะ ผู้ทรงพระภาคนั้น มีพระรัศมีเห็นปานดังนี้ คืออสุรินทราหูแต่ก่อนได้สร้างบำเพ็ญพระบารมีทั้งหลาย ๑๐ ประการมาเป็นอันมากแล้ว จึงได้ตรัสเป็นพระเจ้าในอนาคตกาล ฯ
แต่กองบารมีอันหนึ่ง อสุรินทราหูได้กระทำเป็นปรมัตถบารมี อันยิ่งปรากฏเป็นอัศจรรย์ พระองค์มีพระพุทธฏีกาดังนั้นแล้ว จึงนำมาซึ่งอดีตนิทานมาตรัสพระสัทธรรมเทศนาว่า อตีเต กาเล ในอดีตกาลล่วงมาแล้วช้านาน ในเมื่อพระศาสนาพระพุทธกัสสปทศพลญาณ อสุรินทราหูนี้ได้เสวยพระชาติเป็นบรมกษัตริย์ เสวยศิริราชสมบัติอยู่ในมัลลนคร
เป็นเอกราชอันประเสริฐ ทรงพระนามว่า พระยาสิริคุตตมหาราช มีพระราชอัครมเหสีพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า ลัมภุราชเทวี มีพระราชบุตรพระราชธิดา ๒ พระองค์ พระราชบุตรมีนามว่า เจ้านิโครธกุมาร พระราชธิดาชื่อว่า นางโคตมี อยู่มาวันหนึ่งยังมีพราหมณ์ ๘ คนพากันมาสู่สำนักแห่งพระยาสิริคุตต์ กราบทูลขอพระนคร
พระองค์ก็ทรงพระโสมนัสส์บังเกิดพระราชศรัทธาโปรดพระราชทานพระนครให้แก่ พราหมณ์ทัง ๘ ยังแต่พระราชอัครมเหสีและพระราชโอรสทัง ๒ ก็พากันออกจากพระนครเข้าไปในอรัญญประเทศป่าสูงขึ้น กระทำมาศรมอาศัยอยู่บนยอดเขาใหญ่ พร้อมกันทั้งสี่กษัตริย์ทรงเพศเป็นบรรพชิตอยู่ในอาศรมบท ฯ
นกาลครั้งนั้นยังมียักษ์ตน ๑ มีนามว่า ยันตะยักษ์ใหญ่ สูงได้ ๑๒๐ ศอก ออกจากประเทศราวป่ามาฉะเพาะต่ออาศรมแห่งกษัตริย์ทั้ง ๔ องค์ ยืนอยู่ในที่นั้น จึงกล่าววาจาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นกษัตริย์อันประเสริฐ ข้าพเจ้านี้เกิดมาเป็นยักษ์รักษาพนาลี มีแต่เลือดและเนื้อเป็นภักษาหารเลี้ยงชีวิต ข้าพเจ้ามาทั้งนี้ ปรารถนาจะขอพระราชโอรส ๒ องค์เป็นอาหาร ถ้าพระองค์ทรงพระราชศรัทธาโปรดพระราชทานให้แล้ว ไปในอนาคตเบื้องหน้า พระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเป็นมั่นคง
เมื่อหน่อพระชินวงศ์ได้ทรงฟังยันตะยักษ์ทูลขอพระราชโอรสทั้ง ๒ ดังนั้น พระยาสิริคุตตราชฤๅษีผู้แสวงหาพระโพธิญาณก็ชื่นบานในกลมหฤทัยแสนทวี ท้าวเธอจึงมีสุนทรวาทีตรัสแก่ยันตะยักษ์ว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญเอ๋ย พระราชกุมารทั้ง ๒ องค์นี้ ใช้ว่าเราจะไม่มีความเสน่หาอาลัยหามิได้ด้วยว่าเรารักใคร่ ในพระโพธญาณยิ่งกว่ากุมารทั้ง ๒ ได้แสนเท่าพันทวี เราจะสละพระราชโอรสทั้ง ๒ ศรีให้เป็นทานแก่ท่านในกาลบัดนี้
ตรัสแล้วเท่านั้นก็เสด็จลุกจากอาสน์ จูงเอาข้อพระหัตถ์พระราชโอรสทั้ง ๒ ผู้ร่วมพระราชหฤทัย มาพระราชทานให้แก่ยันตะยักษ์แล้วหล่อหลั่งอุทกกธาราให้ตกลงเหนือมือแห่ง ยักษ์ พระองค์จึงประกาศแก่ฝูงเทพยเจ้าและนางพระธรณีให้เป็นสักขีทิพพยานว่าเดชะผล ทานนี้ " จงสำเร็จแก่พระสร้อยสรรเพชุดาญาณในอนาคตกาลเถิด " พอสิ่นความปราถนา ก็บังเกิดมหัศจรรย์ทั่วโลกทุกห้องจักวาล ปานแผ่นพสุธาจะทรุดจะทลาย ฯ เบื้องหน้า
ยันตะยักษ์ครั้นได้รับพระราชทานสองกุมารปิโยรสแล้ว ก็บังเกิดมีความชื่นชมยินดี พาตรุณสองศรีไปยังหลังพระบรรณศาลาก็ก้มศีรษะลงกัดเอาคอกุมารทั้งสองให้ขาด ด้วยอำนาจของอาตมา แล้วดื่มโลหิตกินเป็นภักษาหารแล้วก็เคี้ยวซึ่งเนื้อและกระดูกกลืนเข้าไป เสียงเคี้ยวนั้นกร้วม ๆ พระฤๅษีผู้เป็นบิดาและมารดาเห็นหยาดเลือดย้อยลงจากปากยันตะยักษ์ ในขณะเมื่อเคี้ยวนั้น มิได้มีพระทัยไหวหวาดด้วยโลกธรรม จึงร้องประกาศแก่ฝูงเทพเจ้าทุกหย่อมหญ้าลดาวัลลิ์ทั้งปวง "จงมาชื่นชมด้วยทานของเราบัดนี้ เป็นอันประเสริฐแล้ว ฯ"
ดูก่อนสำแดงสารีบุตร ในเมื่อพระศานสนาของพระยาอสุรินทราหูได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธ เจ้าแล้วฝูงชนทั้งปวง ประกอบไปด้วยรูปศิริวิลาตเป็นอันงาม ควรจะนำ ซึ่งความสิเนหาด้วยเดชะผลานิสงส์ที่ให้ลูกทั้งสองเป็นทาน ฯ ซึ่งพระองค์ประกอบได้ด้วยพระพุทธรัศมีส่องสว่าง สิ้นทั้งกลางวันและกลางคืน ด้วยเดชะผลนิสงส์ที่เห็นโลหิตกุมารทั้ง ๒ หยดย้อยลงจากปากยักษ์ มิได้มีความหวาดหวั่นไหวในมหาทานเลย แสดงมาด้วยเรื่องราวพระยาอสุรินทราหูบรมโพธิสัตว์คำรบ ๕ ก็ยุตติแต่เพียงนี้ ฯ
จบพระนารทะ (พระยาอสุรินทราหู) กัณฑ์ที่ ๓
No comments:
Post a Comment