ลำดับนั้น โสณพราหมณ์จะได้บังเกิดเป็นพระพุทธเจ้าสืบต่อไปในอนาคตกาล ทรงพระนามว่า พระรังสีมุนีนาถศาสดาจารย์เจ้านั้น พระองค์มีพระวรกายสูงได้ ๖๐ ศอก มีพระชนมายุยืนได้ ๕ พันปีเป็นกำหนด คัมถีร์หนึ่งว่าไม้เลียบ คัมภีร์หนึ่งว่าไม้ดีปลีเป็นพระมหาโพธิ ประกอบไปด้วยพระพุทธรัศมีดุจสีทอง รุ่งเรืองสว่างทั้งกลางวันและกลางคืนเป็นอันงาม
ในศาสนาพระพุทธรังสีมุนีนั้น มนุษย์ทั้งปวงกระทำการงานเลี้ยงชีวิตของอาตมาเหมือนมนุษย์ทุกวันนี้ พระพุทธเจ้าอันทรงพระนามว่า รังสีมุนีนั้น ได้สร้างพระบารมีทั้ง ๑๐ ประการมาเป็นอาทิ คือทานและศีล แต่กองพระบารมีครั้งหนึ่ง เป็นปรมัตถบารมีปรากฏอัศจรรรย์หวั่นไหว จึงได้พระพุทธสมบัติทั้งปวง พระองค์ตรัสดังนั้นแล้วจึงนำมาซึ่งอดีตนิทาน ของพระรังสีมุนีว่า อตีเต กาเล
ในอดีตดาลล่วงลับไปแล้วช้านาน ในเมื่อศาสนาพระกุกสนธสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสในโลก ครั้งนั้นโสณพราหมณ์บรมโพธิสัตว์ บังเกิดเป็นมาณพผู้หนึ่ง มีนามว่ามาฆมาณพ เป็นมหาวาณิชพ่อค้าสำเภา มีความปรารถนามักมาก ไปค้าสำเภาเป็นปฐมนั้น ราคาสินค้าอันหนึ่ง ขายได้กำไร ๑๐ เท่าแล้วประมวญทรัพย์กลับสำเภาแล่นมานาวาก็จมลงในน้ำ แต่ตัวนั้นรอดมาได้มาฆมาณพจัดแจงสำเภาไปใหม่เป็นคำรบ ๒ สินค้าอันเดียวขายได้กำไร ๑๐ เท่า
ได้ทรัพย์แล้วกลับมาสู่บ้านเรือนได้ ๗ วัน เกิดเพลิงไหม้เรือนสิ้น ข้าวของทั้งหลายเสียหายเป็นอันมาก มาฆมาณพจึงจักแจงสำเภาไปค้าขายอีกเป็นคำรบ ๓ ก็ขายของสิ่งเดียวได้กำไรอีก ๑๐ เท่า ได้ทรัพย์แล้วกลับมายังบ้านเรือน คราวนี้ได้มีโจรลอบเข้ามาสะกดให้หลับแล้วเก็บเอาทรัพย์สิงของทองเงินทั้งปวง ไปสิ้น
ในขณะนั้นมาฆมาณพก็หาได้ท้อถอยไม่จัดแจงแต่งสินค้าไปขายใหม่ ในวารเป็นคำรบ ๔ ก็ได้ราคาขายของสิ่งเดียวบังเกิดผลถึง ๑๐ เท่า ได้ทรัยพ์แล้วก็กลับมาถึงบ้านเรือน ในวันนั้น พระมหากษัตริย์ให้ราชบุรุษทั้งหลายไปเก็บเอาทรัพย์สิ่งของแห่งมาฆมาณพนั้น มาเข้าท้องพระคลังจนหมดสิ้น
ตกว่ามาฆมาณพผู้เป็นมหาวาณิชนั้น ได้ซึ่งความพินาศฉิบหายถึง ๔ ครั้ง มาฆมาณพกับภรรยาสองคนผัวเมีย ก็เกิดความทุกข์ยากวิวาทกันกับภรรยาเมื่อคราวจนแล้ว ส่วนตัวได้ผ้าแดงผืนหนึ่งกับทองแสนหนึ่ง อย่ากันกับภรรยาเสียแล้วก็ลงจากเรือนไปเที่ยวค้าขาย คิดว่าครั้งนี้เราจะไปกระทำวาณิชกรรมในที่ใดหรือ ก็เที่ยวไปในประเทศจนถึงเมืองโกสัมพีในกาลนั้น เป็นวันปัณณรสีอุโบสถ มาณพนั้นก็รักษาศีลสำรวมจิตปกติ ฝ่ายว่าชาวเมืองโกสัมพี และชาวนิคมชนบททั้งหลายก็ชวนกันเดินไปมาในท่ามกลางพระนครตามความปรารถนา
ในกาลนั้นพระสาวกองค์หนึ่ง แห่งพระกุกกุสนธสัพพัญญูพระผู้เป็นเจ้า พระองค์นั้นเข้าสู่สมาบัติ ครั้นว่าออกจากสมาบัติแล้วพระผู้เป็นเจ้าจินตนาว่า ใครหนอมีความทุกข์เบียดเบียนเป็นอันมาก เล็งดูด้วยทิพย์จักษุญาณก็เห็นแจ้งว่ามาณพผู้เป็นบรมโพธิสัตว์นั้นประกอบไป ด้วยมหันตทุกข์มากนัก ควรอาตมาจะไปยังมาณพผู้นี้ให้เกิดผลเห็นเป็นทิฏฐธรรมเวทนีย์ ให้ได้เสวยผลในอัตตภาพชาตินี้
พระผู้เป็นเจ้าคิดแล้วก็จับบาตรและจีวร ประดับกายพร้อมแล้วเหาะมาโดยอากาศ ลงในท่ามกลางเมืองโกสัมพี ยืนอยู่ในที่ใกล้มรรคหนทาง พอมาณพเดินมาตามมรรคา เห็นพระสาวกแล้วก็เข้าไปกราบไหว้ถามว่า “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าจะปรารถนาสิ่งใดหรือ ”
“ ดูก่อนมาณพ อาตมาภาพมายืนอยู่เพื่อจะรับทานของท่าน ” มาณพได้ฟังดังนั้นก็มีจิตเลื่อมใสศรัทธา ประกอบไปด้วยความโสมนัสส์ เปรียบเหมือนบุรุษยากไร้เข็ญใจ ได้ซึ่งถุงทรัพย์พันตำลึง อันท่านมาวางลงในมือแห่งตนจึงกล่าวว่า
“ ข้าแต่พระผู้เจริญศีลาธิคุณตัวของจ้าพเจ้าเป็นปุถุชนวาณิช เที่ยวค้าขายได้กำไรถึง ๔ หน ก็บังเกิดมหันตทุกข์เป็นอันมาก บัดนี้ข้าพเจ้าขอกระทำพระนิพพาน เป็นวาณิชกรรมแห่งข้าพเจ้า จะยังจิตให้เที่ยวไปค้าขายในเมืองแก้ว ให้ได้สมบัติโลกุตตระในเบื้องหน้า ” ครั้นว่าแล้วก็เอาทองแสนหนึ่ง กับผ้าแดงผืนหนึ่งถวายแก่พระสาวก ด้วยจิตโสมนัสศรัทธาเลื่อมใสเป็นอันดี
แล้วกระทำความปรารถนาว่า “ เดชะผลทานในกาลบัดนี้ จงเป็นปัจจัยให้สำเร็จแก่พระสัพพัญญุตญาณเถิด ” พระสาวกเจ้าก็รับเอาไทยทานแล้วอนุโมทนาว่า “ ดูก่อนอุบาสกผู้รู้พระไตรสรณาคุณแก้วสามประการ อันว่าความปรารถนาของท่านมีประการใด ขิปฺปํ สมิจฉตุ จงสำเร็จเป็นอันเร็วแก่ท่านดังความปรารถนานั้นเถิด ” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวอนุโมทนาแล้ว ก็เหาะไปในอากาศเวหา
ในเมื่อพระสาวกนั้นหายไปลับจักษุมาณพแล้วในที่ถวายทานแห่งมาณพนั้นก็ บังเกิดมีไม้กัลปพฤกษ์ขึ้นมาต้นหนึ่ง ฝ่ายมาณพก็ขึ้นไปอาศัยไม้กัลปพฤกษ์นั้น เปรียบเหมือนเทพบุตรผู้มีฤทธิ์ ไปนั่งอยู่บนยอดเขายุคุนธรบรรพต ครั้งนั้นพระเจ้าโกสัมพีเสด็จแวดล้อมมาด้วยมหาชนเป็นบริวาร เสด็จมาถึงที่นั้นทอดพระเนตรเห็นมาณพนั่งอยู่ในต้นกัลปพฤกษ์ พระองค์ให้สงสัยจึงเสด็จเข้าไปใกล้ๆ
ฝ่ายว่าเทพารักษ์ที่รักษาต้นไม้กัลปพฤกษ์นั้น ก็จับเอาพระศอพระยาโกสัมพีเสือกใสออกมา พระองค์ทรงพิโรธ สั่งให้ราชบุรุษทั้งหลายเอาไฟมาเผาไม้ทิพย์พิมานนั้นเสีย ในที่นั้นก็บังเกิดเป็นดอกประทุมชาติผุดขึ้นมารับรองเอามาณพนั้นไว้ให้นั่ง อยู่บนดอกบัวเป็นอันงาม ฝ่ายพระยาโกสัมพีทรงเห็นเป็นอัศจรรย์ จึงสั่งให้จับตัวมาณพบรมโพธิสัตว์ให้เอาไปถ่วงน้ำเสีย
เมื่อมหาชนเอามาณพไปถ่วงน้ำ ครั้งนั้นก็มีดอกบัวใหญ่ผุดขึ้นมารองรับเอามาณพไว้อีก มิให้ได้รับอันตราย ครั้นพระยาโกสัมพีเห็นเป็นอัศจรรย์ดังนั้น จึงถามมาณพว่า ไม้กัลปพฤกษ์ต้นนี้บุคคลใดหรือที่ให้แก่ท่าน มาณพจึงทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐไม้วิมานพิทย์นี้พระสาวกให้แก่ข้าพระบาท พระเจ้าโกสัมพีจึงตรัสว่า “ ท่านจงไปหาพระสาวกให้มายังสำนักแห่งนี้ เราจึงจะเชื่อถ่อยคำของท่าน ”
ครั้งนั้นมาฆมาณพจึงตั้งจิตอธิษธาน เพื่อให้พระผู้เป็นเจ้ามาด้วยวาจาว่า
“ ข้าแต่พระผู้เจริญคุณเป็นอันมาก บัดนี้จงอนุเคราะห์แก่ข้าพระเจ้า กลับมายังสำนักข้าพเจ้าก่อนเถิด ” พอขาดคำอธิษฐานลง องค์พระสาวกผู้ประเสริฐก็เล็งแลด้วยทิพย์จักษุญาณ รู้แจ้งแล้วก็เหาะลอยลงมายืนประดิษฐานอยู่ ณ ที่ใกล้แห่งมาณพนั้น พระผู้เป็นเจ้าจึงบอกแก่กษัตริย์โกสัมพีว่า
“ ดูก่อนพระองค์ผู้เป็นสมมติเทวราช ถ้าแลพระองค์ขืนกระทำประทุษร้ายแก่มาณพหน่อพุทธางกูรผู้นั้ ในพระนครของพระองค์ก็จะทรุดจมลงไปในแผ่นปฐพีหมดสิ้น ”
พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้นแล้ว ก็กลับเหาะไปในอากาศเวหา ลงยังสำนักของพระผู้เป็นเจ้า พระยาโกสัมพีได้ฟังพระมหาเถระกล่าวดังนั้น ก็ตกใจสะดุ้งกลัวแต่ภัยยิ่งนัก จึงตรัสว่า “ ดูก่อนมาณพผู้เจริญ เราขออภัยโทษแก่ท่านเสียเถิด ตั้งแต่วันนี้ไปท่านจงเป็นอนุชาธิราชของเรา ” พระยาโกสัมพีก็ตั้งมาฆมาณพบรมโพธิสัตว์ไว้ในที่เป็นอนุชาธิราชของพระองค์ ฯ
ดูก่อนธรรมเสนาสารีบุตร อันว่ามาณพนั้นได้ซึ่งมหาสมบัติทั้งปวงเป็นอันมาก เมื่อได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูเจ้า ทรงพระนามว่า พระรังสีมุรี จึงมีพระพุทธรัศมีและได้ซึ่งสมบัติบริบูรณ์อันประเสริฐยิ่งนัก แสดงมาด้วยเรื่องราวโสณพราหมณ์บรมสัตว์คำรบ ๖ ก็ยุติแต่เพียงนี้ ฯ
จบพระรังสีมุนีนาท (โสณพราหณ์) กัณฑ์ที่ ๓
No comments:
Post a Comment