พระธรรมสามี (พระยามาธิราช)
สมเด็จพระผู้พระภาคเจ้า ตรัสแสดงพระสัทธรรมเทศนาแก่พระสารีบุตรว่า ในกาลเมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าสองพระองค์ คือพระรามและพระเจ้ากรุงโกศลราช ได้ตรัสในมัณฑกัปป์อันเดียวกัน ล่วงลับดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานแล้วในมัณฑกัปป์อันนั้นตั้งอยู่ถ้วนกำหนด กาลช้านานครบ ๖๔ อันตรากัปป์เข้าแล้ว แผ่นดินนั้นก็บังเกิดกัปป์วินาศฉิบหายไปด้วยไฟ ไฟไหม้อยู่สิ้นกาลช้านาน จนถึง ๓ อสงไชยล่วงไปได้ ๖๔ อันตรากัปป์ ๓ หนแล้ว
ในกาลนั้นมีแผ่นดินตั้งขึ้นใหม่ เป็นกัปป์อันหนึ่ง ชื่อว่าสารกัปป์ในสารกัปป์แผ่นดินนานได้ ๖๔ อันตรากัปป์นั้นบังเกิดมีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งมาตรัสในสารกัปป์นั้นคือ พระยามาราราช จักได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระธรรมสามีสัพพัญญูผู้ประเสร็ฐ พระองค์มีพระชนมายุได้ ๑๐ หมื่นปี เป็นกำหนด พระบวรกายสูงได้ประมาณ ๘๐ ศอก มีไม้รังเป็นพระมหาโพธิ ประกอบไปด้วยพระพุทธรัศมีรุ่งเรืองสว่างประดุจดวงจันทร์พระอาทิตย์ และสายฟ้าแลบ
ในเมื่อพระองค์ทรงพระดำเนินก็ดี ทรงนั่งก็ดี ไสยาสน์ก็ดี อยู่ในที่ใด ๆ บังเกิดมีพระบวรเศวตฉัตร สูงและกว้างใหญ่ได้ประมาณ ๓๐ โยชน์ ผุดขึ้นมาในปะเทศเวหา ด้วยเดชานุภาพพระพุทธสัพพัญญูเจ้า บังเกิดมีขุมทองอันหนึ่งใหญ่สำเร็จในโลก มนุษย์ทั้งหลายในพระพุทธศาสนาพระยามาราธิราชนั้น ได้อาศัยขุมทองประพฤติเลี้ยงชีวิตเป็นสุข
ดูก่อนสำแดงสารีบุตร พระยามาราธิราชบรมโพธิสัตว์ ได้ก่อสร้างบารมี ๑๐ ประการ มีทานและศีลเป็นอาทิมามากแล้ว แต่กองบารมีอันหนึ่ง ปรากฏเป็นยอดยิ่งมิ่งมงกุฏ บารมีเป็นปรมัตถคุณควรจะได้สำเร็จ ซึ่งพระพุทธสมบัติทั้งปวง พระองค์ตรัสดังนี้แล้ว จึงนำมาซึ่งอดีตนิทานแห่งพระพยามาราธิราชบรมโพธิสัตว์ เป็นใจความว่า
เมื่อครั้งพระพุทธศาสนาพระพุทธกัสสปทศพลญาณเจ้านั้น พระยามาราธิราชองค์นี้ได้บังเกิดเป็นมหาเสนาบดีใหญ่แห่งสมเด็จพระเจ้ากิงกิส สมหาราช มีนามว่า โพธิอำมาตย์ อยู่มาวันหนึ่งองค์สมเด็จพระพุทธกัสสปสัพพัญญูเจ้า เข้าสู่ผลสมาบัติเชยชมพระนิพพานเป็นบรมสุข ถ้วนกำหนดกาลแล้วออกผลสมาบัติในที่ภายใต้ต้นไทรใหญ่
ส่วนสมเเด็จบรมกษัตริย์พระเจ้ากิงกิสสราชทรงพระจินตนาในพระหฤทัยว่า แท้จริงอันว่า พระมหากรุณาธิคุณเจ้า เสด็จออกจากผลสมาบัติใหม่ ๆ นี้ ถ้าแม้นบุคคลผู้ใดได้ถวายทานแก่พระพุทธองค์เจ้าแล้ว จะบังเกิดผลอานิสงส์หาที่สุดมิได้ บัดนี้ควรเราจะทำทานรักษาศีลสดับรับฟัง พระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้า
ทรงพระจินตนาดังนี้แล้วจึงมีพระราชองค์การดำรัสสั่งราชบุรุษทั้งหลาย ให้ตีกลองร้องป่าวชาวเมือง ให้ทั่วกันว่า ถ้าบุคคลผู้ใดไปถวายทานแก่สมเด็จพระพุทธเจ้าก่อนเรา จะให้ลงพระราชอาชญาแก่บุคคลผู้นั้น แล้วตรัสสั่งสหชาติโยธาทั้งหลาย ไปแวดล้อมพิทักษ์รักษาพระเชตพนมมหาวิหารไว้โดยรอบ
ในกาลครั้งนั้นโพธิอำมาตย์ ได้ทราบเหตุดังนั้นแล้ว ก็มีความปรารถนาจะถวายทาน แก่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าบ้าง ถึงว่าราชบุรุษทั้งหลายจะจับตัว อาตมาไปถวายพระมหากษัตริย์ ๆ จะประหารชีวิตเราเสียด้วยความเพียรในการกุศลครั้งนี้ เสยฺโย ประเสร็ฐโดยวิเศษอันยิ่งแล้ว เราจะคิดเกรงกลัวพระราชอาชญานั้นด้วยเหตุใด
โพธิอำมาตย์คิดดังนี้แล้ว ก็ไปบอกกับบุตรภรรยาให้แจ้งดังพรรณนามานี้ว่า เจ้าจงจัดแจงแต่งอาหารเครื่องไทยทาน กระทำให้เป็นห่อใหญ่แก่เราสักห่อหนึ่ง กับผ้าสักผื่นหนึ่ง ฝ่ายภรรยาได้ฟังสามีบอกดังนั้น ก็เกิดมีศรัทธารับวาจาสาธุแล้ว ครั้นเวลารุ่งเช้า นางก็ไปจัดแจงแต่งเครื่องไทยทานทั้ง ๒ สิ่งนั้น เสร็จแล้วนำมาให้แก่สามี แล้วกระทำเครื่องไทยทานอีกส่วนหนึ่งให้เป็นของแห่งตนฝากสามีให้ไปถวายทาน ด้วย
ครั้นโพธิอำมาตย์ได้เครื่องไทยทานดังปรารถนา แล้วก็ตรงไปยังพระวิหารโดยเร็ว ครั้งนั้นพวกเสนาทั้งหลายที่แวดล้อมอยู่นั้นเห็นโพธิอำมาตย์เดินตรงเข้ามา จึงถามว่า โภเสนาปติ ดูก่อนท่านเสนาบดี เหตุใดหรือท่านจึงองอาจมายังสำนักสมเด็จพระพุทธเจ้า
โพธิอำมาตย์ได้ฟฟังก็คิดว่า ถ้าเราจะบอกแก่คนทั้งหลายด้วยถ้อยคำมุสาวาทว่า พระมหากษัตริย์ใช้ให้เรามาอาราธนาองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเข้าไปยังพระราช นิเวศน์ ก็จะได้ แต่ทว่าหาควรที่เราจะกล่าวมุสาไม่ เราก็ตั้งใจว่าจะถวายทานแก่สมเด็จพระพุทธเจ้า เมื่อเรากล่าวมุสาวาทแล้ว ทานของเราจะมีผลานิสงส์หามิได้ ควรที่เราจะบอกแก่คนทั้งหลายโดยความจริงเถิด
เสนาบดีคิดแล้วก็บอกแก่ราชบุรุษทั้งหลายว่า เราจะไปถวายทานแก่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า ราชบุรุษได้ฟังถ้อยคำแห่งโพธิอำมาตย์ ก็มีความขึงโกรธ กรูกันจับเอาตัวโพธิอำมาตย์ มัดมือไพล่หลัง ไปถวายแก่พระมหากษัตริย์กราบทูลเหตุนั้นให้ทรงทราบ พระเจ้ากิงกิสสราชก็ทรงพระพิโรธ สั่งให้เพ็ชฌฆาตเอาตัวไปตัดศีรษะเสียให้สิ้นชีวิต ฝ่ายเพ็ชฌฆาตและนักการทั้งหลาย ก็พาเอาตัวโพธิอำมาตย์ไปตามรับสั่ง ถึงที่ป่าช้าเพื่อว่าจะฆ่าเสีย ฯ
ขณะนั้นองค์สมเด็จพระกัสสปทศพลญาณเจ้า ทรงทราบประพฤติเหตุดังนั้นแล้ว ทรงคิดว่าโพธิอำมาตย์นี้ เป็นหน่อบรมโพธิสัตว์ เสมอวงศ์แห่งพระตถาคตมีอภินิหารได้กระทำมาแต่ก่อน จะกระทำกาลกิริยาตายเสียในเวลาวันนี้ สมเด็จพระกัสสปสัพพัญญูเจ้า ทรงพระมหากรุณาแก่พระโพธิอำมาตย์จึงนิมิตเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า ให้สถิตอยู่ในพระเชตวันวิหาร ส่วนพระองค์ยังพระพุทธรูปขององค์ให้อันตรธานหายไปประดิษฐานอยู่ในที่สุสาน ประเทศ
ครั้งนั้นบังจักษุแห่งนายเพ็ชฌฆาตไว้ ให้เป็นมหาละลวยละลายไป นายเพ็ชฌฆาตเห็นรูปสมเด็จพระพุทธเจ้า เปรียบเหมือนกับเหล่าราชบุรุษทั้งหลายที่มานั่งอยู่นั้น กระทำแต่จักษุโพธิอำมาตย์แต่ผู้เดียว ให้เห็นเป็นรูปพระพุทธองค์ จึงมีพระพุทธฏีกาตรัสว่า
“ ดูก่อนโพธิอำมาตย์ผู้เจริญ ท่านจงสละชีวิตของท่านเสียเถิดอย่ากระทำอาลัยในชีวิตอยู่เลย อันว่าปัจจัยทานของท่านมีประการใด ท่านจงให้ทานยังนำจิตให้เลื่อมใสในพระตถาคตเถิด ” อันว่าเครื่องปัจจัยทานของโพธิอำมาตย์นั้นราชบุรุษทั้งหลายเอามาวางไว้ ตรงหน้าแห่งโพธิอำมาตย์ด้วยเดชะพระพุทธานุภาพ โพธิอำมาตย์ได้สดับฟังพระพุทธฏีกาตรัสดังนั้น ก็บังเกิดมีจิตโสมนัสหาที่จะอุปมามิได้
ก็ถือเอาเครื่องปัจจัยทานของอาตมาส่วนหนึ่ง ของภรรยาส่วนหนึ่ง ถวายแก่สมเด็จพระพุทธกัปปสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเบญจางประดิษฐ์ แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นที่พึ่ง แก่สัตว์โลกทั้งหลาย อันว่าชีวิตนี้ข้าพระบาทเสียสละแล้ว ด้วยเดชะผลทานของข้าพระพุทธเจ้า ในกาลบัดนี้ขอให้ได้บังเกิดเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าเห็นดังพระองค์ใน อนาคตกาลโน้นเถิด
โพธิอำมาตย์กระทำปณิธานความปรารถนาดังนั้น สมเด็จพระภควันตบพิตรผู้ประเสริฐ ทรงพระอนุเคราะห์ยื่นพระหัตถ์ไปปรามาสเหนือศีรษะ แห่งโพธิอำมาตย์ แล้วมีพระพุทธฏีกาว่า ตัวท่านยังความเป็นสุขเป็นอันมาก ให้บังเกิดแก่ตน จะได้พ้นวัฏฏทุกข์ในสงสาร ท่านปรารถนาประการใด ความปรารถนานั้น จงพลันสำเร็จแก่ท่านเถิด ดูก่อนโพธิอำมาตย์ผู้จำเริญเอ๋ย ไปในอนาคตเบื้องหน้าโน้นท่านจะได้บังเกิดเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์ หนึ่ง สมดังความปรารถนาของท่าน
ทรงพยากรณ์ทำนายโพธอำมาตย์แล้วก็เสด็จกลับยังเชตวันมหาวิหาร กระทำภัตตกิจซึ่งปัจจัยทานบิณฑบาต ที่โพธอำมาตย์ถวายแล้วสำเร็จแล้ว ขณะนั้นนายเพ็ชฌฆาตก็ตัดศีรษะโพธิอำมาตย์ผู้เป็นเจ้าของท่าน ขาดตกลงกระเด็นไปจากกาย โพธิอำมาตย์กระทำกาลกิริยาตาย มหาปฐพีอันใหญ่ก็ไหวหวาด เป็นมหัศจรรย์โกลาหล
ครั้งนั้นเศวตฉัตรแห่งสมเด็จพระเจ้ากิงกิสสราชก็หักทบลง พระองค์เห็นเศวตฉัตรหักก็ให้ประหลาดพระทัยนัก ให้สดุ้งพระทัยไหวหวั่น สั่งให้ปิดประตูพระทวารไว้ให้มั่น ฯ ลำดับนั้น อันว่าทิพย์วิมานทอง อันประกอบไปด้วยนางเทพอัปสรสาวสวรรค์ประมาณพันนาง ก็บังเกิดผุดขึ้นมาในสุสานประเทศที่กระทำกาลกิริยาตายแห่งโพธิอำมาตย์นั้น กับขุมทองทั้งหลาย ๑๖ ขุม และไม้กัลปพฤกษ์ด้วยต้นหนึ่งประกอบไปด้วยสรรพสิ่งสาระพันต่าง ๆ บังเกิดขึ้นในที่นั้น
อันว่าบุตรภรรยาโพธิอำมาตย์ ก็ได้อาศัยอยู่ในวิมานทองได้บริโภคซึ่งขุมทอง และไม้กัลปพฤกษ์ ประพฤติเลี้ยงชีวิตสืบมา ถ้วนถึง ๕๐๐ ปีเป็นกำหนด ฝ่ายโพธิอำมาตย์ก็ได้ขึ้นไปบังเกิดในดุสิตาสวรรค์เสวยทิพย์สมบัติด้วยเดชะผล ทานนั้น ฯ
ดูก่อนสำแดงสารีบุตร เมื่อครั้งศาสนาของพระยามาราธิราชนี้ มหาชนทั้งหลายได้บริโภคซึ่งเข้าสารสาลีเป็นนิจกาล ด้วยเดชะผลทานเข้าสุกห่อหนึ่งถวายแก่พระพุทธกัสสป ในกาลเมื่อเป็นโพธิอำมาตย์ เมื่อพระยามาราธิราชได้ตรัสแล้ว บังเกิดมีเศวตฉัตรแก้วสูงได้ ๓ โยชน์ ด้วยเดชะผลทานถวายผ้าผืนหนึ่ง และพระองค์มีชนมายุประมาณถึงแสนปีนั้นด้วยเดชะผลทานที่สละซึ่งชีวิต ฯ
ดูก่อนสำแดงสารีบุตรพระยามาราธิราชองค์นี้ ไปในอนาคตกาล จักได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระธรรมสามี สำแดงมาด้วยเรื่องราวพระยามาราธิราชบรมโพธิสัตว์เคารพ ๔ ก็ยุตติแต่เพียงนี้ ฯ
( เอวํ ก็มี ด้วยประฉะนี้ )
จบพระธรรมสามี (พระยามาธิราช) กัณฑ์ที่ ๒
No comments:
Post a Comment