หลังจากศาสนาของพระโสภิตะพุทธเจ้าอันตรธานไป เป็นช่วงเวลาที่ว่างเว้นจากพระพุทธเจ้าถึงอสงไขยหนึ่ง เรียกว่า ชัยยะอสงไขย ล่วงมาถึงวรกัปหนึ่งมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ ๓ พระองค์ พระพุทธเจ้าองค์แรกทรงพระนามว่า พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า
พระประวัติ พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า
พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า ทรงประสูติเป็นพระอโนมทัสสีราชกุมาร ในราชวงศ์กษัตริย์แห่งจันทวดีนคร พระราชบิดาทรงพระนามว่าพระเจ้ายสวา และพระราชมารดาทรงพระนามว่าพระนางยโสธรา
อโนมทัสสีราชกุมารทรงเกษมสำราญอยู่ ๑๐,๐๐๐ ปี ในปราสาท ๓ หลัง คือ สิริปราสาท อุปสิริปราสาท และสิริวัฑฒะปราสาท ทรงมีพระมเหสีพระนามว่า สิริมาเทวี และทรงมีสนมนารีแวดล้อมอีก ๒๓,๐๐๐ นาง
วันหนึ่ง พระอโนมทัสสีทรงทอดพระเนตรเห็นเทวทูตทั้งสี่ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช พระองค์จึงมีพระทัยน้อมไปทางบรรพชา
เมื่อพระนางสิริมาเทวีประสูติพระโอรส พระนามว่า อุปวาณะกุมาร จึงได้เสด็จออกบรรพชาด้วยพระวอทอง มีผู้ออกบรรพชาตามจำนวน ๓ โกฏิ
อโนมทัสสีราชกุมารทรงบำเพ็ญความเพียรอยู่ ณ หมู่บ้านอนูปมพราหมณ์ เป็นเวลา ๑๐ เดือน จนถึงวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ทรงรับข้าวมธุปายาสจากธิดาอนูปมเศรษฐี และรับหญ้า ๘ กำจากอนูปมาชีวก ปูลาดใต้ต้นอัชชุนะ (ต้นกุ่ม) เป็นโพธิบัลลังก์ และได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในคืนนั้น
พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา แก่พระภิกษุผู้บรรพชาตามจำนวน ๓ โกฏิ ที่สุธัมมราชอุทยาน ทำให้พระภิกษุ ๓ โกฏินั้น สำเร็จเป็นพระอริยบุคล
ธรรมาภิสมัยในพุทธกาลของพระอโนมทัสสีพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๓ วาระ คือ
วาระที่ ๑ แสดงปฐมเทศนา ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๑๐๐ โกฏิ
วาระที่ ๒ แสดงธรรมบนดาวดึงส์เทวโลกโปรดพุทธมารดา ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่เทวดา ๘๐ โกฏิ
วาระที่ ๓ แสดงมงคลปัญหา ธรรมาภิสมัยบังเกิดแก่มนุษย์และเทวดา ๗๘ โกฏิ
พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า ทรงประชุมสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง
ครั้งที่ ๑ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๘๐๐,๐๐๐ โกฏิ โดยมีพระเจ้าอิสิทัตตะ ซึ่งออกบวชเป็นประธาน
ครั้งที่ ๒ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๗๐๐,๐๐๐ โกฏิ โดยมีพระเจ้าสุนทรินธระ กรุงราธวดี ซึ่งออกบวชเป็นประธาน
ครั้งที่ ๓ ทรงแสดงปาฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวก ๖๐๐,๐๐๐ โกฏิ โดยมีพระเจ้าโสเรยยะ กรุงโสเรยยะ ซึ่งออกบวชแล้วเป็นประธาน
พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าทรงมีพระสาวกองค์สำคัญ คือ
พระอัครสาวก คือ พระนิสภะเถระ และพระอโนมะเถระ
พระอัครสาวิกา คือ พระสุมนาเถรี และพระสุนทรีเถรี
พระอุปัฏฐาก คือ พระวรุณะ
พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าทรงมีพระวรกายสูง ๕๘ ศอก มีพระรัศมีแผ่ออกไปเหมือนดวงอาทิตย์ เมื่อพระชนมายุได้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี จึงปรินิพพาน พระศาสนาดำรงอยู่ได้ ๑๐๐,๐๐๐ ปีจึงอันตรธานไป
ความเกี่ยวข้องกับพระพุทธโคดม
ในสมัยของพระอโนทัสสีพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันได้เสวยพระชาติเป็นพระยายักขเสนาบดี มีฤทธาศักดานุภาพมาก เป็นใหญ่กว่ายักษ์ทั้งหลาย ปกครองเหล่าบริวารยักษ์นับแสนโกฏิ เมื่อได้ยินว่าพระพุทธเจ้านาม "อโนมทัสสี" ทรงอุบัติขึ้นแล้ว มีจิตใจปิติยินดียิ่ง จึงเนรมิตมณฑบใหญ่อันงดงาม ประดับด้วยแก้วทั้ง ๗ แล้วอาราธนาพระพุทธเจ้าและพระอริยสาวกเข้าไปในมณฑบ บำเพ็ญมหาทานจำนวนมากตลอดเจ็ดวัน ด้วยปรารถนาพระโพธิญาณ
เมื่อพระพุทธองค์ทรงอนุโมทนา พระองค์ทรงตรัสพุทธพยากรณ์ว่า
"ท่านพญายักขเสนาบดีนี้ นานไปในอนาคตกำหนดอีก 1 อสงไขยกับอีกเศษแสนมหากัป จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง มีนามว่า พระศรีศากยมุนีโคดมพุทธเจ้า"
เมื่อพญายักขเสนาบดีได้รับทราบอย่างนั้นมีความปีติยินดี เพียรสร้างบารมีต่อไป จนสิ้นอายุ เวียนเกิดตายต่อไป
ความเกี่ยวข้องกับพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร
ในสมัยของพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า มีมานพผู้หนึ่งนามว่า สรทมานพ เกิดเบื่อหน่ายในโลก จึงบวชเป็นชฎิลดาบส บำเพ็ญเพียรจนสำเร็จวิชาสมถกัมมัฏฐาน เหาะเหินเดินอากาศ มีอิทธิฤทธิ์ ส่งกระแสจิตได้ พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยญาณจึงเสด็จไปโปรดสรทมานพ สรทมานพได้พบพระพุทธองค์เกิดความเลื่อมใสจึงอาราธนาให้ทรงประทับบนบัลบัง ก์ของตน แล้วส่งกระแสจิตเรียกลูกศิษย์ของตน ขณะเดียวกันพระพุทธองค์ก็ทรงอธิษฐานจิตให้อัครสาวกและสาวกทั้งมวลของพระองค์มารวมกัน ณ ที่แห่งนี้โดยทันที
สรทดาบสให้ลูกศิษย์นำดอกไม้มาทำเป็นบัลลังก์ ดอกไม้เพียงน้อยนิดทำให้เกิดบัลลังก์ขนาดใหญ่ ยาวหลายโยชน์ แล้งจึงอัญเชิญพระพุทธองค์และเหล่าสาวกประทับนั่งบนบัลลังก์บุปผชาติ พระพุทธองค์ทรงดำริว่าจะเข้าสู่นิโรธสมาบัติ เป็นเวลา ๗ วัน เพื่อที่จะให้การทำสักการะนี้มีอานิสงส์ไพศาล โดยสรทมานพมีศรัทธาแรงกล้า ใช้บุปผาฉัตรกางกั้นเพื่อให้ร่มเงาแก่พระองค์เป็นเวลา ๗ วัน โดยไม่หยุดพัก
เมื่อครบ ๗ วัน พระพุทธองค์และเหล่าพระสาวกออกจากนิโรธสมาบัติ รับสั่งให้อัครสาวกเบื้องขวา คือพระนิสภะแสดงธรรม สรทดาบสมีจิตใจเลื่อมใสในพระนิสภะ แล้วจึงให้พระอโนเถระแสดงธรรมต่อ แต่ไม่มีผู้ใดสำเร็จมรรคผลเลย พระพุทธองค์จึงทรงแสดงธรรมเอง ทำให้เหล่าลูกศิษย์ทั้งหมดของมานพหนุ่มสำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด เหลือแต่สรทมานพเพียงผู้เดียว เพราะคอยถือบุปผาฉัตรตลอดเวลา และชื่นชมในพระนิสภะตลอดเวลา จิตใจจึงไม่ได้สนใจพระธรรม พระพุทธองค์ทรงทราบดีแล้วแต่ก็ทรงตรัสถามว่าเหตุใดถึงเพ่งมองดูพระนิสภะจนมิ ได้ฟังธรรม สรทมานพจึงตอบไปว่า ท่านไม่หวังเป็นอินทร์พรหมใดๆ ขอเป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง
พระอโนมทัสสี จึงทรงมีกระแสพุทธพยากรณ์แก่สรทมานพ ว่าจะได้เป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระสมณโคตมพุทธเจ้า นามว่า พระสารีบุตร และสิริวัฒน์เศรษฐี สหายรักของสรทมานพจะได้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายเคียงข้าง นามว่า พระโมคคัลลานะ
เมื่อสรทมานพได้ฟังก็เกิดจิตใจเลื่อมใส เมื่อพระพุทธองค์และพระสาวกเสด็จกลับแล้ว ก็เหาะไปหาสิริวัฒน์เศรษฐีและแจ้งข่าวนี้ ทั้งสองจึงยินดีบำเพ็ญเพียรเพื่อให้ได้เป็นอัครสาวก ออกบวชในพระพุทธศาสนา สิ้นอายุขัยเวียนว่ายตายเกิดจนสำเร็จพระอรหันต์ในกาลสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ ปัจจุบันนี้แล
สรุปสาระสำคัญ พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าพุทธเจ้า
ฉายา : ผู้สูงสุดในหมู่ชน
ความสูง : ๕๘ ศอก
รัศมี : แผ่ซ่านออกไปเหลือประมาณ
บำเพ็ญบารมี : ๑๖ อสงไขยแสนกัป
วรรณะ : กษัตริย์
พุทธบิดา: พระเจ้ายสวันต
พุทธมารดา: พระนางยโสธราเทวี
พระนคร : จันทวดี
ใช้ชีวิตฆราวาส : ๑๐,๐๐๐ ปี
มเหสี: สิริมา
บุตร: อุปสาละ
ยานพาหานะที่ใช้ออกบวช : ทรงเสลี่ยงออกบวช
ระยะเวลาการทำความเพียร : ๑๐ เดือน จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ต้นไม้ตรัสรู้ : ที่โคนต้นอัชชนะ(ต้นกุ่ม)
อายุขัย :๑๐๐,๐๐๐ ปี จึงปรินิพพานที่สวนธรรมาราม
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี และ board.palungjit.com
No comments:
Post a Comment