2009-05-16

พระเทวเทพ (สุภพราหมณ์) กัณฑ์ที่ ๓

ในกาลเมื่อสิ้นศาสนา พระรังสีมุนีแล้วมัณฑกัปป์ทรงพระพุทธเจ้าสองพระองค์นั้นก็ล่วงลับดับศูนย์ไป เกิดแผ่นดินขึ้นมาใหม่ มีชื่อว่ามัณฑกัปป์ทรงพระพุทธเจ้าสองพระองค์เหมือนกัน

คือสุภพราหมณ์บุตรแห่งโตไทยพราหมณ์นั้นคนหนึ่งเป็นบรมโพธิสัตว์ จะได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระเทวเทพสัพพัญญู ฯ กับโตไทยพราหมณ์นั้นคนหนึ่งเป็นบรมโพธิสัตว์จะได้เป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า นรสีหสัพพัญญู ในมัณฑกัปป์อันเดียวกัน ฯ

สุภพราหมณ์บรมโพธิสัตว์จะได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าก่อนนั้นทรงพระ นามว่า เทวเทพ มีพระสรีรกายสูงได้ ๘๐ ศอก มีพระชนมายุยืนได้ ๘ หมื่นปี ไม้จำปาเป็นพระมหาโพธิ ประกอบด้วยพระพุทธรัศมียังโลกธาตุทั้งปวง ให้สว่างรุ่งเรืองอยู่เป็นนิจกาลปราศจากฤดูเย็นและร้อน

อันว่าฉัพรรณรังสีทั้ง ๖ ประการ มีสัณฐานงามเปรียบเหมือนช่อฝักบัวเมื่อยังอ่อน ๆ อยู่นั้น ด้วยเดชะพุทธานุภาพพื้นแผ่นปฐพีบังเกิดข้าวสาลี มีกลิ่นโอชาหอมวิเศษและต้นไม้กัลปพฤกษ์ ประกอบไปด้วยสรรพสิ่งต่าง ๆ มนุษย์ทั้งหลายได้อาศัยบริโภคข้าวสาลีและประดับประดาสริรกาย

มิใด้กระทำการถากไร่ไถนาค้าขาย ผิวพรรณแห่งมนุษย์ทั้งหลายนั้นก็งามผุดผ่องเป็นสีทองโดยปกติ ถึงไม่แต่งตัวก็งามอยู่เองเป็นอัตรา ด้วยสรีรกายนั้นเหลืองเป็นสีทองเนื้อละเอียดเป็นอันดีงาม ฯ

ดูก่อนสำแดงสารี พระเทวเทพสัพพัญญูเจ้า ครั้งเมื่อเป็นบรมโพธิสัตว์ ได้สร้างพระบารมี ๑๐ ประการบริบูรณ์ด้วยทานและศีล แต่กองพระบารมีครั้งหนึ่งเป็นยอดพระบารมีปรากฏ เป็นปรมัตถบารมีมงกฏทานเหตุดังนั้น พระองค์จึงได้ซึ่งพระพุทธสมบัติเป็นอันมาก

ตรัสดังนั้นแล้วจึงนำซึ่งอดีตนิทานมาตรัสพระสัทธรรมเทศนาว่า อตีเต กาเล ในอดีตกาลล่วงลับไปแล้วช้านานสุภพราหมณ์นี้เมื่อครั้งศาสนาสมเด็จพระ โกนาคมน์สัมมาสัมพุทธเจ้า ได้บังเกิดเป็นพระยาฉัตรทันต์ตัวประเสริฐ อาศัยอยู่แทบฝั่งฉัตรทันต์สระที่ป่าพระหิมพานต์

ครั้งหนึ่งพระอัญญาโกณฑัญญเถรเจ้า ผู้เป็นสาวกแห่งสมเด็จพระโกนาคมน์เจ้า มีพระชนมายุสังขารจวนจะสิ้นแล้ว เข้าสู่พระนิพพานแทบฝั่งฉัตรทันต์สระ ในกาลนั้น อันว่าพระยาช้างศรีเศวตมงคลขาวสอาดดังไกลาสเงินยวง เป็นอันงามก็มีความปรารถนาซึ่งพระสัพพัญญุตญาณพระบรมฉัตรทันต์ชาติคชสารตัว ประเสริฐ

บังเกิดเป็นโพธิสัตว์เสพอาศัยอยู่ในขอบฝั่งสระนั้น ครั้นเที่ยวไปได้ทัศนานุตตริยาคุณเห็นกองบุญ บังเกิดความยินดีโสมนัส ที่ได้พบเห็นพระสรีรกายแห่งองค์พระขีณาสพ พระอัญญาโกณฑัญญเถระ พระยาช้างเผือกผู้โพธิสัตว์จึงตั้งจิตอธิษฐานลงว่า เราจะกระทำการปลงพระสรีรกายพระมาหาสาวกนั้นในประเทศนี้

แล้วประกาศแก่ฝูงเทพดาทั้งหลายว่า “ เชิญท่านมาช่วยด้วย อันว่ากองกุศลอันใดเราได้กระทำไว้แต่ชาติปางก่อน แม้นมีอยู่แล้วขอจงมาอุปถัมภกยกเอาเลื่อยทิพย์อันหนึ่งมาให้ในสำนักแห่งเรา ด้วยเดชะกองกุศลของพระยาช้างตั้งจิตอธิษฐานดังนั้น อันว่าเลื่อยทิพย์ก็บันดาลลอยมา ตกลงตรงหน้าแห่งพระยาช้าง ๆ ก็ตัดงาทั้งสองให้ขาดแล้วก็เอางาของตัวข้างหนึ่งกระทำเป็นโกศ อีกข้างกระทำเป็นรูปนกยูงทอง ประดับเป็นอันงาม จะกระทำณาปยนกิจเผาสรีรกายพระขีณาสพนั้น ฯ

จึงมาคำพระอาจารย์กล่าวโจทย์ว่า พระยาช้างฉัตรทันต์เป็นชาติเดียรัชฉานเหตุใดหรือ จึงเอางาของอาตมากระทำเป็นโกศ มีรูปนกยูงทองประดับเป็นอันงาม พึงให้นักปราชญ์ ผู้มีปัญญากล่าววิสัชชนา แก้ด้วยประการดังนี้ ว่าพระยาช้างฉัตรทันต์นั้นเป็นสัตว์เดียรัชชฉานก็จริงแล แต่ว่าเป็นบรมโพธิสัตว์ก่อสร้างพระบารมีมามากแล้ว เดชะบารมีทั้งหลายของพระยาช้างก็ร้อนขึ้นไปถึงอาศน์ แห่งสมเด็จจอมรินทราธิราชจึงมีเทวบัญชาสั้งพระวิษณุกรรมเทพบุตร ให้ลงมานริมิตรสรรพการเครื่องฌาปนกิจทั้งปวงสำเร็จแล้ว

ครั้งนั้นพระยาช้างแก้ว ก็ถอนเอาผมในศีรษะของอาตมากระทำเป็นไส้ประทีปตามถวายเป็นเครื่องสักการบูชา ฝ่ายว่าช้างบริวารทั้งหลาย ก็มาประชุมแวดล้อมพร้อมกันทั้ง ๘ หมื่น ๔ พัน กระทำสมโภชรื่นเริงบรรเทิงใจเล่นเป็นโกลาหล ด้วยพวกพลช้างทั้งหลายนั้นถ้วนถึง ๗ วัน แล้วก็เชิญอสุภกัมมัฏฐาน คือพระกเฬวระสรีรกาย พระขีณาสพเจ้าออกจากโกศยกข้นวางในรูปนกยูงทอง จึงเอาแก่นจันทร์แดงมีกลิ่นอันหอมลงรองเรียบไว้เป็นอันดี

แล้วก็ตั้งลงซึ่งพระอสุภกัมมัฏฐานแห่งองค์พระขีณาสพเจ้า จึงเชิญขึ้นวางไว้บนเศียรเกล้าของอาตมา แล้วก็เอาเพลิงจุดเผาพระศพสรีรกาย ณ เบื้องบนศรีษะแห่งตนนั้น ครั้นเตโชธาตุเผาผลาญสังหารพระสรีรศพย่อยยับลงแล้ว รูปนกยูงทองที่เป็นเชิงตะกอน ซึ่งตั้งอยู่บนศรีษะพระยาช้างนั้น ประดุจดังว่ามีจิตวิญญาณก็บินไปบนอากาศเวหา อันตรธานสาบศูนย์หายไปสิ้น มิได้มีเศษ แต่พระสรีรธาตุทั้งหลายนั้น ตกลงเรี่ยรายอยู่บนแผ่นดินในที่นั้นฝูงเทพดาทั้งหลาย ตกแต่งพระเจดีย์บรรจุพระสารีรธาตุไว้

ในกาลนั้นพระยาช้างชาติฉัตรทันต์จึงกระทำปณิธานความปรารถนาว่า “ เดชะข้าพเจ้าได้เลื่อยงาทั้ง ๒ ของข้าพเจ้ากระทำเป็นเครื่องสักการบูชาพระอสุภกัมมัฏฐานของพระสาวกเจ้านี้ ขอให้เป็นปัจจัยใด้สำเร็จแก่พระสร้อยสรรเพชชุดาญาณ ในอนาคตกาลเถิด ฯ ” ครั้นพระยาช้างสิ้นชีวิตก็ได้ขึ้นไปบังเกิดในดุสิตเทวโลกเป็นเทพบุตรเสวยสมบัติในวิมานอันเกษมนิราศภัย ฯ

ดูก่อสำแดงสารีบุตรผู้เจริญ อันว่าสุภพรหมณ์นี้ แต่ครั้งศาสนาพระโกนาคมน์เจ้าได้ก่อสร้างพระบารมีดังนี้ จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระเทพสัพพัญญูผู้ประเสริฐในอนาคตกาลโน้น แสดงมาด้วยเรื่องราวพระสุภพราหมณ์ บรมโพธิสัตว์คำรบ ๗ ก็ยุตติแต่เพียงนี้ ฯ

จบ พระเทวเทพ (สุภพราหมณ์) กัณฑ์ที่ ๓

No comments:

ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในเว็บไซด์ที่เป็นของ Andaman Amulet ไม่สงวนสิทธิ์ สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้
ข้อความและรูปภาพบางส่วน นำมาจากเว็บไซด์หลายแห่ง ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้

ติดต่อผู้จัดทำได้ที่ E-mail : skarnwigit@gmail.com


ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ผู้ขอมักเป็นที่รังเกียจ