ในเมื่อศาสนา แห่งพระเทวเทพสัพพัญญูเจ้านั้นเสื่อมศูนย์สิ้นแล้ว ในมัณณฑกัปป์นั้น โตไทยพราหมณ์ผู้เป็นบรมโพธิสัตว์ จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าสืบต่อไป ทรงพระนามว่า พระนรสีหสัพพัญญู สมเด็จพระเจ้านรสีหะนั้น มีพระกายสูงได้ ๖๐ ศอก ประกอบไปด้วยพระพุทธรัศมีรุ่งเรืองสว่างเป็นอันงาม ประดุจดังแก้วมณีโชติแห่งสมเด็จบรมจักร์
พระองค์มีพระชนมายุได้ประมาณ ๘๐ ปีเป็นกำหนดอายุขัย มีไม้แคฝอยเป็นพระมหาโพธิ ด้วยเดชะนุภาพของพระองค์แผ่นดินบังเกิดมีข้าวสาลีอันหอม ประกอบไปด้วยโอชารสเป็นปกติ มนุษย์ทั้งหลายได้อาศัยบริโภคข้าวสาลีเลี้ยงชีวิต แล้วเกิดมีไม้กัลปพฤกษ์ต้นหนึ่ง ประกอบไปด้วยของมีประการต่าง ๆ บังเกิดมีในไม้กัลปพฤกษ์นั้น มนุษย์ทั้งหลายมีรูปก็งามมีพรรณเหลืองดังสีทอง ถึงมิได้ตกแต่งสรีรกายด้วยเครื่องประดับ ก็งามอยู่เองเป็นปกติ มนุษย์ทั้งหลายมีความสุขเป็นอันมาก
สมเด็จพระนรสีหะนั้น แม้เสด็จอยู่ในที่ใดแล้ว เศวตฉัตรแก้วก้บังเกิดขึ้นมา กางกั้นพระองค์อยุ่เป็นนิจกาลจะได้เปล่าจากฉัตรแก้วนั้นก็หามิได้ด้วยพระ บารมีคุณของพระองค์ทรงพระอุตสาหะ ก่อสร้างพระบารมีมาพร้อมทั้ง ๑๐ ประการ แต่กองพระบารมีครั้งหนึ่งปรากฏมหัศจรรย์ยกขึ้นเป็นยอดมิ่งมงกุฏพระบารมีเป็น ปรมัตถคุณ ควรนักปราชณ์ทั้งหลายจะกล่าวสรรเสริญ เหตุดังนั้นพระนรสีหสัพพัญญูจึงได้พระพุทธสมบัติเห็นปานดังนี้ ฯ
ดูก่อนสารีบุตรผู้เป็นพระยาธรรมของพระตถาตคตในเมื่อว่างพระศาสนาแห่งสมเด็จ พระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ คือพระกัสสปสัพพัญญู และศาสนาพระตถาคตต่อกันนั้น เป็นกาลควรพระพุทธเจ้าจวนจะมาตรัสอยู่แล้ว ในท่ามกลางระหว่างศาสนานั้น โตไทยพรหามณ์ผู้นี้เกินเป็นวาณิชผู้หนึ่ง มีนามว่านันทมาณพไปเที่ยวค้าขายในประเทศต่าง ๆ
ครั้งหนึ่งยังมีพระปัจเจกโพธิเจ้าพระองค์หนึ่ง เสด็จไปเที่ยวโคจรบิณฑบาตนันทมาณพเห็นองค์พระปัจเจกโพธิเจ้า ก็บังเกิดมีความเลื่อมใสศรัทธายกเอาผ้ากำพลสีแดงผืนหนึ่ง กับทองแสนตำลึงกระทำเป็นเครื่องไทยธรรมถวายแก่พระปัจเจกโพธิเจ้าเป็นมหาบริ จาก แล้วตั้งปณิธานความปรารถนาว่า “ ข้าแต่พระปัจเจกโพธิผู้ตรัสรู้ธรรมวิเศษต่าง ๆ พระคุณเจริญมากหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าถวายทานบัดนี้ ของจงเป็นปัจจัยแก่พระสัพพัญญุตญาณ ในเบื้องหน้า ด้วยเดชะผลทานนี้ ”
พระปัจเจกโพธิเจ้า รับเอาผ้ากำพลผืนนั้นมาคลุมพระองค์ลง ผ้ากำพลนั้นปิดปกพระองค์โดยรอบคอบยังเหลือแต่พระหัตถ์และพระบาทในเบื้องบน นั้นมีประมาณศอกหนึ่ง นันทมาณพเห็นดังนั้นจึงตั้งความปรารถนาเป็นสองประการอีกเล่าว่า “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญ นานไปในอนาคตเบื้องหน้าโน้น ขอให้ข้าพระพุทธเจ้ามีเดชะนุภาพ แผ่ทั่วอาณาจักร์ไปในภายใต้แผ่นพื้นปฐพีนั้นโยชน์หนึ่งด้วยเดชะผลทานในครั้ง นี้ ”
ครั้นนันทมาณพตั้งความปรารถนาแล้ว พระปัจเจกโพธิเจ้า จึงอนุโมทนาทานของนันทมาณพแล้วคมนาการไปจากที่นั้น ไปถึงกลางมรรคา ยังมีนางกุมารีสาวน้อยผู้หนึ่งเห็นพระปัจเจกโพธิเจ้าห่มผ้าแดงเดินมา นางจึงถามว่า “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้เจริญ พระเจ้าข้า ผ้าผืนนี้ที่พระผู้เป็นเจ้าห่มมีสีแดงงามบุคคลผู้ใดถวายแก่พระผู้เป็นเจ้า ”
พระปัจเจกโพธิเจ้าจึงบอกว่า “ ดูก่อนสีกา ผ้าแดงผืนนี้ พาณิชนันทมาณพถวายแก่อาตมา ”
นางจึงถามอีกว่า “ พระเจ้าข้าพระผู้เป็นเจ้าเขาถวายผ้ากำพลแล้วเขากระทำความปรารถนาว่ากระไรหรือ ”
พระปัจเจกโพธิเจ้าบอกว่าดูก่อนสีกา มาณพนั้นถวายผ้ากำแล้วกระทำความปรารถนาสองประการ คือ ปรารถนาพระสัพพัญญูประการหนึ่ง และปรารถนาศิริสมบัติประการหนึ่ง นางกุมารีได้สดับดังนั้นจึงยกเอาผ้าของอาตมาถวายแก่พระปัจเจกโพธิเจ้าแล้วก็ ตั้งความปรารถนาว่า “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงคุณอันยิ่ง ถ้าแม้นว่ามาณพพาณิชนั้นได้เสวยศิริราชสมบัติเป็นบรมกษัตริย์แล้ว ข้าพเจ้าขอปรารถนาเป็นนางพระยาราชมเหสีแห่งพาณิชผู้นั้น ”
คนทั้ง ๒ นั้นก็ได้สมัคสังวาสอยู่กินเป็นภรรยาสามีกันในปัจจุบันชาตินั้นมาแล้ว ก็คิดอ่านการกุศลสร้างศาลาหลังหนึ่งไว้ในที่นั้น ยังนายช่างให้สลักเป็นรูปพระปัจเจกโพธิเจ้า ประดิษฐานตั้งไว้ในที่ศาลา ฝ่ายว่านางกุมารีจึงโกนซึ่งเกษา เอาเกษามาชุปน้ำมันหอม กระทำสักการบูชาพระปัจเจกโพธิเจ้า กระทำผมของนางต่างไส้ประทีปประตามถวาย
ในกาลครั้งนั้น คนทั้งสองได้กระทำด้วยประการดังนี้ ครั้นกระทำกาลกิริยาตาย ก็ได้ไปบังเกิดในดาวดึงสพิภพเทวโลกเสวยทิพย์สมบัติอยู่ช้านาน จะประมาณนับด้วยปีมนุษย์นนี้ได้ ๓ โกฏิ ๖๐ แสนปีเป็นกำหนด ครั้นสิ้นอายุแล้วก็จุติลงมาบังเกิดเป็นบรมกษัตริย์ทรงทศพิธราชธรรมทั้ง ๑๐ ประการ เสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงทวารวดีมหานคร
ส่วนว่านางฟ้ากุมารีนั้น ก็จุติลงมาบังเกิดในสกุลมหาเศรษฐี อันประกอบไปด้วยสมบัติมาก ในกรุงทวารวะดี ครั้นนางกุมารีธิดาจำเริญชันษาได้ ๑๖ ปี ก็ได้มาเป็นพระราชอัครมเหสี แห่งบรมกษัตริย์นั้น นางทรงพระนามว่า พระมงคลราชเทวี มีแสนสาวสุรางค์แวดล้อมเป็นยศศักดิ์บริวารประมาน ๑๐ แสน
วันหนึ่งสมเด็จพระเจ้ากรุงทวารวดีเสด็จแวดล้อมพร้อมด้วยพระสนมข้างในประมาณ ๑๖ แสน ประสงค์พระทัยจะทดลองบุญแห่งพระมงคลราชมเหสีนั้น ให้ปรากฏแก่หมู่สาวสนมทั้งหลาย จึงมีพระราชโองการตรัสสั่งแก่หมู่นางทั้งหลาย ให้จัดแจงแต่งแต่งสำหรับเข้าคนละสำรับให้ถ้วนทุกตัวนาง แล้วพระองค์ให้นั่งบริโภค อยู่ตรงหน้าพระที่นั่ง เหล่านางทั้งหลายก็นั่งบริโภคโภชนาหารเป็นปกติ จะได้เห็นประหลาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็หามิได้
แต่องค์พระมงคลราชมเหสีนั้น นางนั่งอยู่ในที่สวรรณภาชน์ ล้างพระหัตถ์ลงในที่สวรรณภาชน์นั้นแล้วก็รับเอาอาหาร กระทำเป็นคำขึ้นเข้าไปในโอษฐ์ อันว่านิ้วพระหัตถ์ของนางที่จับเอาข้าวไว้นั้น ก็กลายเป็นทองทุกนิ้วพระหัตถ์ ทุกคำเสวยในที่นั้น ด้วยเดชะผลทานที่พระนางได้ตกแต่งเป็นการกุศลอันปราณีตบรรจง
แต่บุพพชาติหลหลังเหล่านางสนมทั้งหลายได้เห็นนิ้วพระหัตถ์พระมงคลราชมเหสี เป็นทองปรากฏแก่อาตมา ก็รู้แจ้งว่านางพระยาเจ้ามีบุญหาควรที่เราท่านทั้งหลาย จะเกิดความริษยาหึงหวงไม่ ตั้งแต่วันนั้นมาก็ยำเกรงพระราชมเหสีเป็นอันมาก ฯ
สมเด็จพระเจ้ากรุงทวารวะดีนั้นก็มีความเสน่หาในพระมงคลราชมเหสี เสด็จบรรทมเหนือแท่นอันเดียวกัน ก็ได้ทรงตั้งพระนางนั้นไว้ในที่เป็นเอกอัคราชเทวี ผู้มีบุญหานางจะเปรียบเสมอสองมิได้ ด้วยเดชะผลทานของพระนางและของพระองค์ได้กระทำมาเสมอกันแต่บุพพชาติจึงได้ เสวยศิริราชสมบัติดังนั้น ฯ
สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าของเรา ตรัสพระสัทธรรมเทศนาแก่พระสารีบุตรว่า โตไทยพราหมณ์ได้กระทำบุญมาแต่ก่อนจึงได้เสวยสมบัติในสวรรค์และมนุษย์ บัดนี้จึงได้บังเกิดเป็นพราหมณ์ในศาสนาของตถาคต นานไปเบื้องหน้าโน้นโตไทยพราหมณ์จักได้เกิดเป็นพระสัพพัญญูสัมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า นรสีหะ ด้วยเดชะผลทานอันเป็นปรมัตถบารมีปรากฏดุจกล่าวมาฉะนี้ แสดงมาด้วยเรื่องราวโตไทยพราหมณ์บรมโพธิสัตว์คำรบ ๘ ก็ยุติแต่เพียงนี้ ฯ
เอวํ ก็มี ด้วยประการฉะนี้
จบ พระนรสีหะ (โตไทยพราหมณ์) กัณฑ์ที่ ๓
No comments:
Post a Comment