พระเถระที่ชื่อ “ปุณณะ” ในพระบาลีปรากฏอยู่ ๒ ท่านที่สำคัญคือ
๑ พระพระปุณณมันตานีบุตร เป็นบุตรของ นางมันตานีพราหมณี ต่อมาได้บวชแล้วพระพุทธเจ้าทรงสถาปนาท่านเป็นเอตทัคคะผู้เลิศกว่าพวกภิกษุสาวกผู้เป็นธรรมกถึก
๒ พระปุณณสุนาปรันตะ ตามเรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้
พระเถระรูปนี้ ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้ว ในอดีต ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับ ดังนี้
บุรพกรรมที่ทำไว้กับพระปัจเจกพุทธเจ้า
ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ ในกาลที่โลกว่างจากพระพุทธเจ้า ท่านบังเกิดในตระกูลพราหมณ์ เจริญวัยแล้ว สำเร็จการศึกษาในศิลปศาสตร์ของพราหมณ์ เห็นโทษในกามทั้งหลายละฆราวาสวิสัย แล้วบวชเป็นดาบส สร้างบรรณกุฏิ แล้วอยู่อาศัย ณ หิมวันต์ประเทศ
ณ ที่เงื้อมเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ไกลจากที่ซึ่งพระดาบสนั้นอยู่ พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพำนักอยู่ วันหนึ่งพระปัจเจกพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงอาพาธ และทรงดับขันธปรินิพพานแล้ว ในเวลาที่พระปัจเจกพระพุทธเจ้านั้นปรินิพพาน ก็ได้บังเกิดแสงสว่างลุกโพลงขึ้น หมี หมาป่าเสือดาว เนื้อร้ายและราชสีห์ ที่อาศัยอยู่ในไพรสณฑ์นั้นทั้งหมด ก็ได้พากันส่งเสียงร้องโหยหวนขึ้น ดาบสเห็นเหตุอัศจรรย์ดังกล่าว นั้นแล้ว เหลียวมองดูข้างโน้น ข้างนี้ โดยจะพิสูจน์ว่า แสงสว่างนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรหนอแล จึงได้เดินทางไปสู่เงื้อมเขา แลเห็นพระปัจเจกสัมพุทธเจ้าปรินิพพานที่เชิงเขา ท่านจึงนำเอาหญ้า และไม้ฟืนที่มีกลิ่นหอมมากองให้เต็มแล้ว ได้ทำเชิงตะกอนขึ้นบนนั้น ครั้นทำเชิงตะกอนดีแล้ว จึงได้ถวายเพลิงพระปัจเจกพุทธสรีระ ครั้นถวายเพลิงพระสรีระแล้ว ได้นำเอาน้ำอบประพรม
ที่เงื้อมเขานั้นมีเทวบุตรองค์หนึ่ง ยืนอยู่ในอากาศ กล่าวอย่างนี้ว่า สาธุ สาธุ ท่านสัตบุรุษ กรรมที่ท่านบำเพ็ญกิจนั้นแก่พระปัจเจกะผู้สยัมภุแล้ว ด้วยบุญนั้นท่านจักบังเกิดในสุคติภพเท่านั้น และท่านจักมีนามว่า ปุณณะ ดังนี้
กำเนิดเป็นปุณณมาณพในสมัยพระสมณโคดมพุทธเจ้า
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บังเกิดในตระกูลคฤหบดี ที่ท่าชื่อว่า สุปปารกะ ในสุนาปรันตชนบท ในพุทธุปบาทกาลนี้ เขาได้มีนามว่า "ปุณณะ" ท่านมีน้องชายอีกคนหนึ่งชื่อว่า จุลปุณณะ เมื่อทั้งสองเจริญวัยแล้ว ก็ได้ทำการค้าโดยกองเกวียน
ในสองพี่น้องนั้น บางทีพี่ชายก็นำเกวียน ๕๐๐ เล่ม ไปชนบทแล้วก็บรรทุกสินค้ามา บางทีก็น้องชายเป็นผู้ทำ ส่วนในครั้งนี้ ปุณณะผู้พี่ชายให้น้องชายอยู่เฝ้าบ้าน แล้วตัวเองก็นำเอาเกวียน ๕๐๐ เล่ม เที่ยวไปตามหัวเมือง มาถึงกรุงสาวัตถี โดยลำดับ พักกองเกวียนอยู่ใกล้ ๆ พระเชตวัน กินอาหารมื้อเช้าแล้ว นั่งพักผ่อนตามสบาย
สมัยนั้น ชาวกรุงสาวัตถี กินอาหารมื้อเช้าแล้ว อธิษฐานองค์อุโบสถ สวมเสื้อสะอาด ถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น แล้วพากันออกไปทางประตูทิศใต้ไปสู่พระเชตวัน เมื่อเขาเห็นคนเหล่านั้นเดินทางกันมาเป็นกลุ่ม จึงถามชายคนหนึ่งว่า พวกนี้ไปไหนกัน นี่นาย คุณไม่รู้อะไรเลยหรือ บัดนี้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ได้บังเกิดขึ้นแล้วในโลก เพราะอย่างนี้แหละหมู่ชนพวกนี้ จึงพากันไปฟังธรรม กถาในสำนักของพระศาสดา เมื่อได้ยินคำว่า พุทธะ จากปากของชายคนนั้นเขาก็เกิดความเลื่อมใส เขาจึงพาบริวารของตนไปสู่วิหารกับหมู่ชนพวกนั้น ยืนอยู่ท้ายสุดของบริษัทฟังธรรมของพระศาสดาที่ กำลังแสดงธรรมอยู่ด้วยพระสุรเสียงที่ไพเราะ แล้วเกิดความเลื่อมใสอยากจะบวช ขึ้นมา เมื่อบริษัททั้งหลายกลับไปแล้ว ก็เข้าเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว ทูลอาราธนาเสวยพระกระยาหารในวันรุ่งขึ้น ในวันที่สองจึงให้สร้างปะรำ ตั้งอาสนะ ถวายมหาทานแด่พระสงฆ์มีองค์พระพุทธเจ้าเป็นพระประมุข เมื่อเสร็จภัตกิจ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุโมทนาแล้วเสด็จกลับ
ปุณณมาณพบวชในสำนักพระศาสดา
ปุณณมาณพเมื่อรับประทานอาหารเช้าแล้วก็อธิฐานองค์อุโบสถ แล้วให้เรียกเจ้าหน้าที่คุมของมา บอกว่า ของเหล่านี้ได้จำหน่ายไปแล้ว จงให้สมบัตินี้แก่น้องชายฉัน แล้วท่านก็บวชในสำนักพระศาสดา ตั้งหน้าตั้งตาทำกัมมัฏฐาน ครั้งนั้น เมื่อท่านเอาในใส่ทำกัมมัฏฐานอยู่ กัมมัฏฐานก็ไม่ปรากฏ ต่อมาท่านจึงคิดว่า ชนบทนี้ไม่เหมาะแก่เรา อย่างไรเสีย เราต้องรับกัมมัฏฐาน ในสำนักพระศาสดาแล้วไปสู่ถิ่นเดิมของเรา
จึงเมื่อท่านเที่ยวบิณฑบาตใน ตอนเช้าแล้ว ออกจากการหลีกเร้นในตอนบ่ายแล้ว ท่านพระปุณณะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ ประทับ ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคโปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์โดยย่อที่ ข้าพระองค์ได้สดับแล้วพึงเป็นผู้ๆ เดียว หลีกออกจากหมู่ ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว อยู่เถิด
ปุณณสูตร
พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรปุณณะ มีรูปที่รู้ได้ด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด ถ้าภิกษุยินดี กล่าวสรรเสริญ พัวพันรูปนั้น ความเพลินก็เกิดขึ้น เพราะความเพลินเกิดขึ้น ทุกข์จึงเกิด ฯลฯ
ดูกรปุณณะ มีเสียงที่รู้ได้ด้วยโสต มีกลิ่นที่รู้ได้ด้วยฆานะ มีรสที่รู้ได้ด้วยชิวหา มีโผฏฐัพพะที่รู้ได้ด้วยกาย
มีธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งด้วยใจ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด ถ้าภิกษุยินดี กล่าวสรรเสริญ พัวพันธรรมารมณ์นั้น ความเพลินก็เกิดขึ้น เพราะความเพลินเกิดขึ้น ทุกข์จึงเกิดฯ
ดูกรปุณณะ รูปทั้งหลายที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจน่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่ ถ้าภิกษุไม่ยินดี ไม่กล่าวสรรเสริญ ไม่พัวพันรูปนั้น ความเพลินก็ดับไป เพราะความเพลินดับไป ทุกข์จึงดับ ฯลฯ
ดูกรปุณณะ มีเสียงที่รู้ได้ด้วยโสต มีกลิ่นที่รู้ได้ด้วยฆานะ มีรสที่รู้ได้ด้วยชิวหา มีโผฏฐัพพะที่รู้ได้ด้วยกาย
มีธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งด้วยใจ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด เมื่อภิกษุนั้นไม่ยินดี ไม่กล่าวสรรเสริญ ไม่พัวพันธรรมารมณ์นั้น ความเพลินก็ดับไป เพราะความเพลินดับไป ทุกข์จึงดับ
ดูกรปุณณะ ด้วยประการฉะนี้ เธอนั้นจึงไม่ห่างไกลจากธรรมวินัยนี้ ฯ
ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบอกกัมมัฏฐานให้พระเถระแล้ว พระเถระก็เดินทางกลับไปยังแคว้นสุนาปรันตะ บ้านเกิดของท่าน
พระเถระเที่ยวหาสถานที่อันเป็นสัปปายะ (เหมาะแก่การปฏิบัติ)
ตอนแรกท่านเข้าสู่แคว้นสุนาปรันตะแล้วเข้าไปสู่อัมพหัฏฐบรรพต เข้าสู่หมู่บ้านพ่อค้าเพื่อบิณฑบาต ทีนั้นน้องชายจำท่านได้ จึงถวายอาหาร แล้วเรียนท่านว่า ท่านครับ ท่านไม่ต้องไปที่อื่น นิมนต์อยู่ที่นี้แหละ ท่านรับคำแล้วก็อยู่ในที่นั้นระยะหนึ่ง
ต่อจากนั้น ท่านได้ไปสู่วัดสมุทรคิรี ซึ่งอยู่ริมทะเล ในที่นั้นมีที่สำหรับเดินจงกรมที่เขาตัดเอาแผ่นหินที่เสียบเหล็กไว้ตรงปลายมาทำ ไม่มีใครเดินเหยียบแผ่นหินนั้นได้ ในที่นั้นคลื่นทะเลชัดมากระทบแผ่นหินที่เสียบเหล็กตรงปลายเกิดเสียงดังมาก พระเถระคิดว่า จงเป็นที่อยู่สำราญสำหรับผู้เอาใจใส่ทำกัมมัฏฐานเถิด แล้วก็อธิษฐานทำให้ทะเลสงบเสียง
ต่อจากนั้นท่านได้ไปยังมาตุลคิรี ในที่นั้นมีพวกนกชุกชุม เสียงอึกทึกทั้งคืนทั้งวัน พระเถระคิดว่า ที่นี้ไม่สำราญ
ต่อจากนั้นก็ไปวัดมกุฬการาม วัดนั้นอยู่ไม่ไกล ไม่ใกล้หมู่บ้านพ่อค้ามากนัก ไปมาสะดวกเงียบ ไม่มีเสียง พระเถระคิดว่า ที่นี้สำราญ จึงให้สร้างที่พักกลางคืนและกลางวันพร้อมกับที่จงกรม เป็นต้นแล้ว ก็เข้าพรรษาในที่นั้น
น้องชายพระเถระออกเรือ
ต่อมาอีกวันหนึ่ง ภายในพรรษานั่นเอง มีพ่อค้า ๕๐๐ คน ตั้งใจว่า พวกเราจะออกทะเลไปค้าขาย จึงเอาสินค้าบรรทุกลงเรือ ในวันลงเรือ น้องชายของพระเถระเลี้ยงพระเถระแล้ว เมื่อจะไปได้เรียนท่านว่า ท่านขอรับ ขึ้นชื่อว่าทะเลหลวงมีอันตรายมากมายเหลือ จะประมาณได้ ขอให้ท่านช่วยสอดส่องพวกกระผมด้วย แล้วก็ลงเรือ ไปจนถึงเกาะหนึ่ง พวกพ่อค้าคิดว่า พวกเราจะกินอาหารเช้า แล้วก็พากันขึ้นเกาะ บนเกาะนั้นไม่มีอะไร มีแต่ป่าจันทน์ทั้งนั้น ตอนนั้นคนหนึ่งเอามีดฟันต้นไม้ ก็รู้ว่าเป็นจันทน์แดง จึงกล่าวว่านี่ แน่ะ พวกเราไปสู่ทะเลอื่นก็เพื่อประสงค์จะได้ทรัพย์ การได้มาที่นี้นั้น จะหาลาภที่ยิ่งไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ก็ไม้ท่อนขนาดยาว ๔ นิ้ว ก็ราคาตั้งแสนแล้ว แล้วพวกเขาก็เอาไม้จันทน์บรรทุกจนเต็มลำเรือ
พวกอมนุษย์ที่สิงในป่าจันทน์โกรธ พากันคิดว่า คนพวกนี้มันทำป่าจันทน์ของพวกเราให้ฉิบหายแล้ว พวกเราจะฆ่าพวกมัน แล้วพูดว่า เมื่อพวกมันถูกฆ่าในที่นี้ ป่าทั้งหมดก็จะกลายเป็นป่าช้าไป พวกเราจะ ให้เรือมันจมกลางทะเล แล้วต่อมาในเวลาที่คนพวกนั้นขึ้นเรือแล้วแล่นไปได้ครู่ เดียวเท่านั้น ก็ทำให้เกิดพายุลงอย่างแรง แล้วพวกอมนุษย์เหล่านั้นเองก็พากัน แสดงรูปที่น่ากลัวต่าง ๆ นานา พวกคนก็กลัวพากันไหว้เทพเจ้าของตน ๆ จุลปุณณะ น้องชายพระเถระคิดว่า ขอให้พี่ชายของข้าจงเป็นที่พึ่งด้วย เถิดแล้วก็ยืนระลึกถึงพระเถระอยู่
พระเถระช่วยน้องชายและพวกจากอมนุษย์
ในขณะนั้นเอง พระเถระพิจารณาดูก็ได้ทราบว่าพวกเขา กำลังตกอยู่ในความฉิบหาย จึงเหาะขึ้นสู่ฟ้ามายืนอยู่ตรงหน้าพวกอมนุษย์ พวกอมนุษย์เห็นพระเถระพูดว่า พระคุณเจ้าปุณณเถระมา แล้วพากันหลีกไป พายุร้ายก็สงบทันที พระเถระปลอบคนเหล่านั้นว่า ไม่ต้องกลัว แล้วถามว่า อยากจะไปไหนกัน พวกกระผมจะไปที่เดิมของตัวเองนั่นแหละครับท่าน พระเถระเหยียบแผ่นเรือแล้วอธิษฐานว่า จงไปสู่ที่ที่คนพวกนี้ต้องการ
พวกชาวสุนาปรันตะประกาศตัวเป็นอุบาสก
พวกพ่อค้าเมื่อไปถึงที่ของตนแล้ว ก็เล่าเรื่องนั้นให้ลูกเมียฟังแล้วชวนว่า มาเถิด พวกเราจงถึงพระ เถระเป็นที่พึ่งเถิด พ่อค้าทั้ง ๕๐๐ คน พร้อมกับพวกแม่บ้านของตนอีก ๕๐๐ คน ตั้งอยู่ในสรณะสาม ประกาศตัวเป็นอุบาสก ต่อจากนั้นก็ให้ขนสินค้าลงจากเรือ แบ่งถวายพระเถระส่วนหนึ่ง แล้วเรียนท่านว่า ท่านครับ นี้เป็นส่วนของพระคุณท่าน
พระเถระตอบว่า อาตมาไม่มีส่วนด้วยหรอก แต่พวกคุณเคยเห็นพระศาสดาแล้วหรือ
พ่อค้าตอบว่า ยัง ไม่เคยเห็นเลยท่าน
พระเถระ ถ้าอย่างนั้นขอให้พวกคุณเอา ส่วนนี้ไปสร้างพระคันธกุฎีถวายพระศาสดา แล้วพวกคุณจะได้เห็นพระศาสดา
พวกพ่อค้านั้นก็รับว่า ดีแล้วท่าน แล้วก็เริ่มสร้างพระคันธกุฎี ชื่อว่า จันทนมาลา ด้วยไม้จันทน์แดง โดยใช้ทรัพย์ส่วนนั้น และเอาทรัพย์ส่วนของตนมาเพิ่มด้วยอีกมาก
พวกอุบาสกช่วยกันสร้างพระคันธกุฎีและเสนาสนะสำหรับพระภิกษุสงฆ์จนสำเร็จ แล้วเตรียมเครื่องทาน แล้วกราบเรียนพระเถระว่า พระคุณเจ้า พวกกระผม ได้ทำกิจเสร็จแล้ว ขอให้พระคุณเจ้าโปรดทูลพระศาสดามาเถิด ตอนบ่าย พระเถระไปถึงกรุงสาวัตถีด้วยฤทธิ์แล้วกราบทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ชาวหมู่บ้านพ่อค้าอยากเฝ้าพระองค์ พระพุทธเจ้าข้า ขอพระองค์ได้โปรดกระทำอนุเคราะห์แก่พวกเขาเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับแล้ว พระเถระทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับแล้วก็กลับไปยังถิ่นของตนตามเดิม
พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสเรียกพระอานนทเถระมาสั่งว่า อานนท์ พรุ่งนี้พวกเราจะเที่ยวบิณฑบาตที่หมู่บ้านพ่อค้าในแคว้นสุนาปรันตะ เธอจง ให้สลากแก่ภิกษุขีณาสพ ๔๙๙ รูป พระเถระสนองพระพุทธบัญชาว่า ดีแล้ว พระ เจ้าข้า แล้วจึงบอกเรื่องนั้นแก่ภิกษุสงฆ์ แล้วพูดว่า ขอให้พวกภิกษุที่เป็นปุถุชนจงอย่าจับฉลาก ในวันนั้นท่านพระกุณฑธานเถระ ก็จับสลากได้ที่ ๑
(เรื่องที่ท่านพระกุณฑธานเถระจับสลากภัตได้ที่ ๑ ในครั้งนี้เป็น ๑ ใน ๓ ครั้งที่ท่านจับสลากภัตได้ที่ ๑ อีก สองครั้ง คือเมื่อพระศาสดาจะเสด็จไปสู่อุคคนคร ในกิจนิมนต์ของนางมหาสุภัททา ครั้งหนึ่ง และเมื่อเสด็จไปสู่เมืองสาเกต ในกิจนิมนต์ของนางจุลสุภัททา อีกครั้งหนึ่ง พระพระศาสดาทรงทำเรื่องนั้นให้เป็นอรรถอุบัติเหตุเกิดเรื่อง จึงทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าภิกษุ ผู้จับสลากได้ที่ ๑ ในศาสนา)
พวกชาวสุนาปรันตะกระทำมหาทานแด่พระพุทธองค์
ฝ่ายชาวหมู่บ้านพ่อค้าทราบว่า พรุ่งนี้พระศาสดาจะเสด็จมาถึง จึงตระเตรียมของถวายทานชั้นเลิศ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำการปฏิบัติพระสรีระตั้งแต่เช้าเสด็จเข้าพระคันธกุฎี ประทับนั่งเข้าผลสมาบัติ ปัณฑุกัมพลสิลาสนะของท่าวสักกะเกิดร้อนขึ้นมา ท้าวสักกะนั้นทรงพิจารณาว่า อะไรทำให้เกิดเหตุเช่นนี้ ก็ทรงเห็นว่าพระศาสดาจะเสด็จไปแคว้นสุนาปรันตะ จึงรับสั่งเรียกพระวิษณุกรรมมาสั่งว่า ท่าน วันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จเที่ยวบิณฑบาตระยะทางไกลประมาณสามร้อยโยชน์ ท่านจงเนรมิตบุษบกไว้ ๕๐๐ หลังไว้ที่ท้ายสุดซุ้มประตูพระเชตวัน ไว้ให้พร้อม พระวิษณุกรรมนั้นได้เนรมิตบุษบกตามรับสั่ง บุษบกสำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้ามี ๔ มุข ของสองพระอัครสาวก มี ๒ มุข ที่เหลือมีมุขเดียว พระศาสดาเสด็จออกจากพระคันธกุฎี ทรงเข้าสู่บุษบกอันประเสริฐในหมู่บุษบกที่ตั้งไว้ตามลำดับ เหล่าภิกษุ ๔๙๙ รูป เริ่มแต่พระอัครสาวกทั้งสองต่างก็ไปสู่บุษบก ๔๙๙ หลัง มีบุษบกว่างอยู่หลังหนึ่ง แล้วบุษบกทั้ง ๕๐๐ หลังก็ลอยไปในอากาศ
พระพุทธองค์ทรงโปรดสัจจพันธ์ดาบส
พระศาสดา เสด็จมาถึงภูเขาชื่อ สัจจพันธ์ แล้วทรงหยุดบุษบกนั้นไว้ในอากาศ ที่ภูเขานั้น มีดาบสมิจฉาทิฐิ ชื่อว่า สัจจพันธ์ ทำให้มหาชนถือเอาความเห็นผิด เป็นผู้ถึงลาภเลิศและยศเลิศอยู่ แต่ตัวดาบสนั้นก็มีอุปนิสัยแห่งพระอรหัตอยู่สมบูรณ์ ครั้นทรงเห็นดาบสนั้นแล้วทรงพระดำริว่า เราจะแสดงธรรมแก่เขา จึงเสด็จไปทรงแสดงธรรม เมื่อทรงเทศน์จบ ดาบสก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย พระพุทธองค์ประทานการอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา ท่านพระสัจจพันธ์ทรงบาตรจีวรที่สำเร็จเพราะฤทธิ์ แล้วเหาะเข้าสู่บุษบกหลังที่ว่างอยู่นั้น
พระพุทธองค์ทรงโปรดชาวสุนาปรันตะ
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเดินทางต่อไปถึงหมู่บ้านสุนาปรันตะพร้อมกับภิกษุ ๕๐๐ รูปที่อยู่ในบุษบก ทรงบันดาลให้ใคร ๆ มองไม่เห็นบุษบกแล้วเสด็จไปสู่หมู่บ้านพ่อค้า พวกพ่อค้าได้ถวายทานใหญ่แก่หมู่ภิกษุซึ่งมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประมุขแล้วทูลอาราธนาพระศาสดาเสด็จไปยังมกุฬการาม พระศาสดาทรงเข้าสู่พระจันทนมาลาคันธกุฎี มหาชนต่างรับประทานอาหารมื้อเช้าเสร็จแล้วสมาทานองค์อุโบสถ ถือของหอมและดอกไม้เป็นอันมากกลับมาวัด เพื่อต้องการฟังธรรม พระศาสดาทรงแสดงธรรม หลังจบการแสดงพระธรรมเทศนา การหลุดพ้นจากกิเลสก็ได้เกิดแก่มหาชนแล้ว
พระพุทธองค์ทรงโปรดนิมมทานาคราช
เพื่อสงเคราะห์มหาชน พระศาสดาประทับอยู่ ๒-๓ วันในที่นั้นเอง จากนั้นก็เสด็จเที่ยวบิณฑบาตในหมู่บ้านสุนาปรันตะแล้วตรัสสั่งให้พระปุณณเถระกลับยังที่พัก โดยทรงตรัสว่า เธอจงอยู่ในที่นี้แหละ และทรงพระดำเนินต่อไป ในระหว่างทางมีแม่น้ำชื่อ นิมมทา ได้เสด็จไปถึงฝั่งของแม่น้ำนั้น ณ ที่นั้นนิมมทานาคราชถวายการต้อนรับพระศาสดา ทูลเชิญเสด็จเข้าสู่นาคพิภพ เหล่านาคได้กระทำสักการะพระรัตนตรัยแล้ว พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่นาคราชนั้นแล้ว ก็เสด็จออกจากภพนาค นาคราชนั้นกราบทูบขอว่าได้โปรดประทานสิ่งที่พึงบูชาแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงแสดงรอยพระบาท ไว้ที่ฝั่งแม่น้ำนิมมทา รอยพระบาทนั้น เมื่อคลื่นซัดมาปิด เมื่อคลื่นเลยไปแล้วก็ถูกเปิด กลายเป็นรอยพระบาทที่ถึงสักการะอย่างใหญ่
เมื่อพระศาสดาทรงออกจากนั้นแล้วก็เสด็จถึงภูเขาสัจจพันธ์ ตรัสกับท่านพระสัจจพันธ์ว่า มหาชนถูกเธอทำให้จมลงในทางอบาย เธอต้องอยู่ในที่นี้แหละ แก้ลัทธิของพวกคนเหล่านี้เสีย แล้วให้พวกเขาดำรงอยู่ในทางพระนิพพาน ท่านพระสัจจพันธ์นั้น ก็ทูลขอสิ่งแทนพระองค์พื่อบูชา พระศาสดาก็ทรงแสดงรอยพระบาทไว้บนหลังแผ่นหินทึบเหมือนประทับตราไว้บนก้อนดินเหนียวสด ๆ ฉะนั้น ต่อจากนั้นก็เสด็จไปถึงพระเชตวันทีเดียว
พระเถระบรรลุพระอรหัตผล และปรินิพพาน
ภายในพรรษานั้นเอง ตัวท่านก็ได้ทำให้แจ้งซึ่งวิชชา ๓ และบรรลุพระอรหัตผลภายในพรรษานั้นเอง ครั้นสมัยต่อมา ท่านได้ปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ มหาชนทำการบูชาสรีระของพระเถระตลอด ๗ วัน แล้วเอาไม้หอมเป็นอันมากมากองเผาสรีระ เก็บธาตุแล้วสร้างเจดีย์บรรจุไว้
ครั้งนั้นแล พวกภิกษุที่อยู่ในที่ฌาปนกิจศพของพระเถระเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ แล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอนั่งเรียบร้อยแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กุลบุตรชื่อปุณณะที่พระผู้มีพระภาคทรงสั่งสอนด้วยพระโอวาทย่อๆ นั้นทำกาละเสียแล้ว เธอมีคติ เป็นอย่างไร มีสัมปรายภพเป็นอย่างไร ฯ
พระผู้มีพระภาคทรงตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุณณกุลบุตร เป็นบัณฑิต ได้บรรลุธรรมสมควรแก่ธรรมแล้ว ทั้งไม่ให้เราลำบากเพราะเหตุแห่งธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุณณกุลบุตรปรินิพพานแล้ว ฯ
ที่มา : dharma-gateway.com
No comments:
Post a Comment