2009-02-01

ตำนานพระปริตร : ธชัคคปริตร



ตำนานพระปริตร : ธชัคคปริตร
บทขัดธชัคคปริตร

เออแน่ะ สัตว์ทั้งหลายแม้อยู่ในอากาศ ย่อมได้ที่พึ่ง ทำให้หายหวาดกลัว ดุจเดียวกันกับสัตว์ในแผ่นดิน สัตว์ทั้งหลาย ผู้รอดพ้นจากข่าย คือ สรรพอุปัทวะ อันเกิด

แต่ยักษ์และโจร มีจำนวนเหลือคณนานับ ด้วยการระลึกถึงพระปริตรใด ท่านทั้งหลาย จงสาธยายพระปริตรนั้นเทอญ

ตำนานบทธชัคคปริตร

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จประทับอยู่ ณ นครเวสาลี ได้ทรงแสดงที่มาของท้าวสักกะเทวราช ให้แก่เจ้าลิจฉวี นามว่ามหาลี ได้สดับความว่า

มีมานพผู้หนึ่งชื่อ มะฆะ อยู่ในอะจะละคาม แคว้นมคธรัฐ ได้จัดทำสถานที่ชายป่าไกลบ้านให้เป็นที่ร่มรื่นรมณียสถาน แล้วพักนั่งเล่น นอนเล่นอยู่ ณ สถานที่นั้น

ขณะนั้นมีชายผู้หนึ่งเดินทางผ่านมา เห็นชานป่าแห่งนั้นเ ป็นที่รมณียสถานก็ตรงเข้าไปแวะพักแลเห็น มะฆะมานพนั่งพักอยู่ก่อนแล้ว ชายผู้นั้น ก็ไม่พอใจ

กล่าวตู่ขึ้นว่า เอ่ะ เจ้านี้มายังไงนะ บังอาจมานั่งบนที่ของข้าได้ ไป..ไปเสียให้พ้น อากาศยิ่งร้อนๆอยู่ เดี๋ยวพ่อก็แพ่นกระบาลเสียด้วยไม้เท้านี้หรอก

มะฆะมานพ พอได้ฟังดังนั้นแทนที่จะโกรธ กลับคิดว่า เออ...ดีนะ รมณียสถานแห่งนี้ เราเป็นผู้สร้างขึ้นคนทั้งหลายชอบตำหนิว่าไม่มีประโยชน์ มาบัดนี้มีผู้เห็นประโยชน์ในสิ่งที่เราสร้างขึ้นแล้ว ดีหละ..เราจักสร้างสถานที่เช่นนี้ต่อไป

มะฆะมานพได้เดินออกจากชายป่านั้นโดยดี มิได้ถือโกรธเลย พร้อมทั้งยัง ได้ไปสร้างที่รื่นรมย์ยังที่อื่นๆ ต่อไป

แล้วเหตุการณ์ก็เป็นเช่นเดิม สร้างเสร็จก็มีผู้มาอ้างสิทธิ์จับจองเป็นเจ้าของ แทนที่มะฆะมานพจะโกรธกลับคิดว่า การที่เราสร้าง สามารถทำให้ผู้อื่นมีความสุข

เราย่อมได้รับบุญ บุญนั้นย่อมทำให้เรามีความสุขไปด้วย

กาลต่อมา แม้ในขณะเดินทาง มะฆะมานพจะต้องนำเอามีดหรือจอบติดมือไปด้วยเสมอ เมื่อเห็นว่าหนทางไม่ราบเรียบมีหญ้าขึ้นปกคลุมรก ทางมีหลุมเป็นบ่อ ระหว่างทางมีกิ่งไม้ระเกะระกะรุงรัง มะฆะมานพนั้น ก็จะเอาจอบถาก มีดหวด ทำให้ตลอดทางเป็นที่ร่มรื่น สะดวกสบายแก่ผู้สัญจรไปมา

เมื่อนาย มะฆะมานพทำเช่นนี้เป็นอาจิณ ผู้คนชนทั้งหลายที่สัญจรไปมาก็พากันเข้าไปถามว่า สหายท่านกำลังทำอะไรอยู่ มะฆะมานพก็ตอบว่า เรากำลังทำทางไปสวรรค์ ชนเหล่านั้นก็ขอร่วมทำด้วย จนมีสมัครพรรคพวกเป็นเพื่อนถึง ๓๓ คน มะฆะมานพ จึงพาทำทางได้ระยะไกลถึง ๒ โยชน์ หมู่ชนทั้งหลาย

เมื่อเดินทางได้รับความสะดวกสบาย ต่างก็พากันสรรเสริญมะฆะมานพและบริวารเป็นอันมาก

ฝ่ายนายบ้าน ผู้เป็นเจ้าหน้าที่ปกครองท้องถิ่น เห็นฝูงชนยกย่องสรรเสริญมะฆะมานพและบริวาร ก็บังเกิดความริษยา จึงหาเรื่องเข้ามาว่ากล่าวว่า เจ้าทั้ง

หลายกระทำอะไรไร้ประโยชน์ ทำไมไม่ใช้เวลาและแรงที่มีไปหาเนื้อหาปลามาเป็นอาหาร วัยฉกรรจ์อย่างพวกเจ้าควรที่จะไปเที่ยวเล่น ดื่มสุรา เที่ยวดูการละเล่นยังจะสนุกเพลิดเพลินเสียกว่า อย่ามามัวเหนื่อยเปล่ากับ เรื่องไม่เป็นประโยชน์เหล่านี้อยู่เลย

มะฆะมานพและบริวารทั้ง ๓๓ คน ก็หาได้เชื่อฟังคำของนายบ้านไม่

นายบ้านจึงผูกใจโกรธ นำเรื่องไปเท็จทูลพระราชาว่า มะฆะมานพและบริวาร เป็นคนเกเรไม่ทำมาหากิน คอยดักปล้นสะดมผู้คนที่เดินทาง

พระราชา พอได้ฟังคำเท็จทูลของนายบ้านก็หลงเชื่อ มีรับสั่งให้พนัก งานไปจับตัวมะฆะมานพและบริวารทั้ง ๓๓ คนมาลงโทษด้วยการให้นอนลงกับพื้นแล้วต้อนช้างพลายผู้ดุร้ายให้ไปเหยียบ

ขณะที่ช้างพลายที่ดุร้ายจะมาเหยียบนั้น มะฆะมานพได้สั่งให้บริวารทั้ง ๓๓ คน เจริญเมตตาไว้ในใจ อย่าผูกโกรธ เคืองแค้นต่อนายบ้าน แผ่เมตตาให้แก่พระราชาและช้างพลายที่จะตรงมาเหยียบ

ด้วยอานุภาพแห่งเมตตาของมะฆะและบริวาร ช้างพลายที่ดุร้ายนั้นพลัน ก็ยืนสงบนิ่ง ไม่ยอมที่จะก้าวเดินไปเหยียบมะฆะและบริวาร

ข้างพระราชาทรงประทับทอดพระเนตรการลงทันต์อยู่ ทรงเห็นว่าช้างไม่ยินยอมที่จะย่างเหยียบคนทั้ง ๓๓ ก็ให้พนักงานนำเอาเสื่อลำแพนมาปกคลุมร่างของคนทั้ง ๓๓ คนเสีย ด้วยคิดว่าช้างอาจจะเห็นเป็นคน เลยมิกล้าที่จะเดินเหยียบได้

เมื่อชาวพนักงานนำเสื่อลำแพนมาคลุมร่างมะฆะมานพและบริวารมิดชิดแล้ว จึงให้ควาญช้างไสช้างพลายนั้นให้ก้าวเหยียบไปบนเสื่อลำแพน มิใยที่ควาญช้างจะโขกสับ บังคับไสช้างพลายนั้นให้เดินสักปานใด ช้างนั้นก็ยืนสงบนิ่ง มิขยับ เขยื่อนเลื่อนไปแม้แต่ก้าวเดียว

พระราชาครั้นได้ทรงทอดพระเนตรเห็นดังนั้น จึงทรงดำริว่า เอ... นี่มันเกิดอาเภทเหตุอัศจรรย์ใดกันหนอ ทำไมชนทั้ง ๓๓ คนนี้ จึงมิได้มีอันตรายใดๆ

จากการลงทันต์ในครานี้เลย ชะรอยเราต้องเรียกมาไตร่สวนดูให้รู้ความจริง และแล้วจึงทรงมีพระดำรัสเรียกมะฆะมานพและบริวารเข้าเฝ้า

เมื่อมะฆะมานพและบริวารได้เข้าเฝ้าเบื้องหน้าพระพักตร์แล้ว

พระราชาจึงทรงมีพระดำรัสตรัสถามขึ้นว่า อาชีพที่สุจริตในแผ่นดินนี้มีออกมากมาย เหตุใดพวกเจ้าจึงพากันเป็นโจร ประกอบทุจริต

มะฆะมานพครั้นได้ฟังพระราชาทรงตรัสตำหนิถามดังนั้น จึงกราบทูลว่า ข้าแต่องค์ราชะผู้ประเสริฐ ข้าพระพุทธเจ้าและสหาย มิได้เป็นผู้ทำอาชีพทุจริตผิดกฎหมาย พวกข้าพระพุทธเจ้าเป็นสุจริตชน สิ่งที่ข้าพระพุทธเจ้าทำ คือทางไปสวรรค์ แต่กลับถูกกล่าวหาว่าเป็นโจร เหตุเพราะนายบ้านมีความริษยา ผูกโกรธคิดกลั่นแกล้งใส่ความพวกข้าพระพุทธเจ้า ถ้าพระองค์ไม่เชื่อ ขอได้ทรงโปรดให้ขุนทหารไปเรียกชาวบ้านมาไตร่ถาม ความจริงก็จะปรากฏ

พระราชาจึงส่งขุนทหาร ไปเกณฑ์ชาวบ้านมาไตร่ถาม จึงได้ทรงทราบความจริง ว่ามะฆะมานพ และบริวารได้ชวนกันทำงาน ไปสวรรค์จริงๆ จึงทรง

ปราโมทย์ยินดี ทรงพระราชทานช้างพลายตัวนั้น ให้แก่มะฆะมานพ และบริวาร อีกทั้งยังทรงมีรับสั่งให้ นายบ้านผู้มีจิตริษยานั้น ตกเป็นทาสของมะฆะมานพด้วย

ข้างมะฆะมานพและสหาย เมื่อได้เห็นอานิสงส์ผลบุญ ที่พวกตนได้ร่วมกันกระทำ ปรากฏให้เป็นที่ประจักษ์ จิตโสมนัส ศรัทธาในการบำเพ็ญบุญนั้นมากยิ่งขึ้น ซึ่งนอกจากทำทาง ทำสถานที่ร่มรื่นให้ผู้คนและสัตว์ ที่กำลังเดินทางได้หยุดพักแล้ว ยัง ได้ช่วยกันทำศาลาพักผ่อน ขุดสระ ทำปลูกพืชผักผลไม้เอาไว้ให้ผู้คนที่หิวกระหายได้ตักดื่ม เก็บกิน จนเป็นที่สำราญของผู้คนที่เดินทางผ่านไปมา ณ ตำบลบ้านนี้

นอกจากมะฆะมานพ จะเป็นผู้ชอบบำเพ็ญบุญดังกล่าวมาแล้ว ยังจะเป็นผู้ปฏิบัติ ข้อวัตตะบท ๗ ประการ โดยบริบูรณ์ คือ

- ปฏิบัติเลี้ยงดูรักษาบิดามารดา
- อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล
- กล่าวความสัตย์ ไม่โกหก
-ไม่พูดหยาบคาย
- มีวาจาที่สุภาพ เรียบร้อย ระรื่นหูแก่ผู้ได้สดับ ไม่ส่อเสียดยุยง
-ไม่ตระหนี่ ยินดีในการให้
- เป็นผู้ที่มีปกติไม่โกรธ

ครั้นเมื่อถึงกาลมรณะสมัย มะฆะมานพและสหายได้ทำกาลกิริยาลง ด้วยสิ้นอายุขัย ผลบุญที่ตนได้ทำเอาไว้ ส่งผลให้มะฆะมานพ ไปบังเกิดเป็นพระอินทร์

ในเทพพิภพ พร้อมด้วยสหายอีก ๓๒ องค์ จึงรวมเป็นเหล่าเทพ ๓๓ องค์ เทพนครแห่งนั้น จึงเปลี่ยนชื่อเป็น ตาวะตึงสะ หรือ ดาวดึงส์สวรรค์ ซึ่งแปลว่า ๓๓

ส่วนเทพยดา ที่สถิตในเทพนครนี้อยู่เดิม เห็นเทพบุตรเกิดขึ้นใหม่ มีวรกายสง่างาม รัศมีกายเรืองรอง จึงใคร่ผูกสมัครมิตรไมตรี พากันจรลี ไปจัดสรรคัดหาโภชนาหารอันเลิศรส พร้อมกับเหล้าหอม ชื่อคันธบาน แล้วชวนกันนำไปเลี้ยงแก่บรรดาเทพบุตรทั้ง ๓๓ องค์ที่บังเกิดใหม่

พระอินทร์ จึงแอบกระซิบแก่เทพบริวารทั้ง ๓๒ ว่า อย่าดื่มน้ำคันธบานนั้น แต่ให้แสร้งทำประหนึ่งว่า ได้ดื่มน้ำเหล้านั้นเข้าไปด้วย

ฝ่ายเทพดาที่สถิตอยู่ในเทพพิภพเดิม ก็มิได้คิดระแวงอันใด จึงพากันดื่มเหล้าหอมนั้นเข้าไป จนเมามายหมดสติ มิอาจทรงกายอยู่ได้ จึงลงนอนและหลับไปในที่สุด ฤทธิ์แห่งเหล้าหอมนั้น ทำให้เทพดาเก่าหลับไปนานถึง ๔ เดือน

พระอินทร์จึงกล่าวแก่เทพบริวารว่า พวกเทพเหล่านี้ มัวเมา ประมาท จนขาดสติ นอนได้แม้ในที่ที่มิมีใครนอน แถมส่งเสียงเอะอะละเมอเหมือนกับคนบ้า ผ้าผ่อนภูษาก็หลุดลุ่ย ขืนให้อยู่บนเทพพิภพรังแต่จะทำให้ เทพนครเสื่อมเสีย มาเถิดสหายทั้ง ๓๒ เอ๋ย มาช่วยกันจับเทพขี้เมาเหล่านี้โยนลงสู่มหาสมุทรกันเถิด

เมื่อเทพขี้เมาเหล่านั้น โดนจับโยนลงมหาสมุทร ร่างกระทบภาคพื้นพิภพใต้มหาสมุทร เทพวิมานที่สำเร็จด้วยบุญฤทธิ์ของเทพขี้เมาเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้น มีสภาพดุจดัง เทพนครบนสวรรค์มิได้ผิด จะต่างก็ตรงต้นปาริจฉัตตกะ ซึ่งมีอยู่บนเทพนครชั้นดาวดึงส์ แต่ในเทพพิภพมีแต่ต้นแคฝอย ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ต้นจิตตปาตลี

เทพขี้เมาทั้งหลาย เมื่อฟื้นคืนสติขึ้นมา จึงได้รู้ว่าพวกตนถูกเทพบุตรใหม่ทั้ง ๓๓ องค์ จับโยนลงมาอยู่ในมหาสมุทร ก็ให้นึกละอาย แล้วก็พากันดำริขึ้นว่า

นี่คงเป็นเพราะชาวเราทั้งหลายมัวเมาประมาท กินเหล้าจนขาดสติหลับไป จึงโดนเทพใหม่เหล่านั้นกลั่นแกล้งให้ได้อาย เป็นเพราะน้ำเหล้าหอมนั้นเชียว

เราทั้ง หลายเอ๋ย ต่อนี้ไปจงอย่ากินเหล้าอีกเลย ด้วยว่าดำริเช่นนี้ เทพขี้เมาเหล่านี้ ก็เลยเป็นเทพที่ไม่ยอมเมาอีกต่อไป จนได้ชื่อว่า อสูร

อสูรนั้น ได้พักอาศัยอยู่ใน อสูรพิภพ ซึ่งมีสภาพเหมือนกับเทพนครทุกอย่าง ซึ่งทุกอย่างก็สำเร็จได้ด้วยบุญฤทธิ์ของตน ของตน ต่างตนต่างก็อยู่อย่างเป็นสุข สถิตสถาพร และมีหัวหน้าที่สำเร็จด้วยบุญฤทธิ์ ชื่อว่า ท้าวเวปจิตติอสูร

กาลต่อมา ลุถึงฤดูต้นแคฝอยออกดอก เหล่าอสูรทั้งหลายต่างพากันหวนคำนึงนึกถึง เทพนครสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเป็นที่สถิตของต้นปาริจฉัตตกะ มีดอกใหญ่สีสวยกลิ่นหอม เมื่อถึงคราวฤดูออกดอกก็ส่งกลิ่นทำให้เทพนครหอมอบอวนเป็นที่รื่นรมณ์ยิ่งนัก

เหล่าอสูรทั้งหลาย ก็พากันหวนคำนึงระลึกถึง เทพนครสวรรค์ เวปจิตติอสูร ผู้เป็นหัวหน้า จึงชักชวนพลโยธา จัดเตรียมเป็นกองทัพ เพื่อไปชิงเอาเทพนครสวรรค์กลับมาเป็นของตน พร้อมทั้งยกทัพ ขึ้นไปท้ารบกับพระอินทร์

องค์อินทราชจึงมีเทวบัญชา ให้ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ แต่งกองทัพเทวดาลงไปรักษาเชิงเขาพระสุเมรุในทิศทั้ง ๔ คอยสู้รบ รุกรับ ขับไล่ต่อกรกับพวกอสูร ซึ่งบางครั้งก็มีชัย บางครั้งก็พ่ายแพ้ คราใดที่ท้าวจาตุมทั้ง ๔ พ่าย ก็พาทัพเทวดาถอยร่นขึ้นไปจนถึงประตูสวรรค์ องค์อินทร์ก็ต้องคุมทัพออกมารุกไล่รบแก่ทัพอสูรด้วยพระองค์เอง และก่อนที่จะออกรบ องค์อินทรธิราช ได้ทรงตรัสสั่งแก่บรรดา พลเทวดาว่า

ถ้าพลเทวดา หวาดกลัว สะดุ้ง และมีขนพองสยองเกล้าบังเกิดขึ้น ก็ให้แลดูชายธงที่ปลิวไสวอยู่บนราชรถศึกของพระองค์ หรือไม่ก็แลดูชายธงขององค์เทวะชื่อปชาบดี ของพระวรุณเทวราช หรือพระอีสานเทวราชเพื่อเป็นกำลังใจว่า ผู้นำ ผู้เป็นที่พึ่งของเรายังสถิตอยู่กับเรา

เหล่าบรรดาพลทหารเทวดาทั้งหลาย เมื่อได้แลเห็นชายธงของมหาเทวะทั้ง หลายที่กล่าวนามมาแล้ว จึงมีกำลังมีใจที่ฮึกเหิม ทำสงครามอย่างเกรียงไกร มีชัย

ในที่สุดอีกทั้งยังสามารถจับตัวท้าวโพจิตราสูร หัวหน้าของอสูร ทั้งปวงได้

ท้าวโพจิตราสูร เมื่อโดนจับก็ยิ่งผูกโกรธ กล่าวคำหยาบช้า ด่าว่าพระอินทร์และเทพที่เกิดใหม่ทั้ง ๓๓ องค์ นานาประการ แต่หมู่เทพและองค์อินทร์ก็หาได้โกรธไม่ อีกทั้งยังให้อภัย ปล่อยท้าวโพจิตราสูรให้เป็นอิสระ สงครามระหว่างเทวะกับอสูรก็สงบลง แต่นั้นเป็นต้นมา

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสต่อไปว่า เช่นนั้นแลภิกษุทั้งหลาย คราใดที่เธอทั้งหลายไปอยู่ในป่าก็ตาม อยู่ใต้โคนไม้ก็ตาม อยู่ในเรือนว่างก็ตาม อยู่ในที่รกชัฏก็ตาม ความหวาดกลัว ความสะดุ้งผวา ขนพองสยองเกล้าบังเกิดขึ้นแก่เธอ เธอทั้งหลายพึงชนะความกลัวเหล่านั้น ด้วยการระลึกถึงเรา ผู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นผู้ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นครูผู้สอนเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม ดังนี้

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าเธอทั้งหลายไม่ระลึกถึงเรา เพื่อจะชนะความหวาดกลัว เธอทั้งหลายพึงระลึกถึงคุณของพระธรรมว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้ดีแล้ว เป็นสิ่งที่บุคคลพึงเห็นรู้ได้ด้วยตนเอง ไม่จำกัดกาลเวลาสามารถเรียกให้ผู้อื่นมาดูได้ด้วย เป็นสิ่งที่บุคคลพึงน้อมเข้ามาใส่ตน เป็นคุณสมบัติของผู้รู้ทั้งหลาย ดังนี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เธอทั้งหลายมิพึงระลึกถึงพระธรรม เพื่อจะครอบงำความกลัว เธอทั้งหลายพึงระลึกถึงคุณของพระสงฆ์ว่า เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง

พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติธรรม เป็นผู้ปฏิบัติชอบ ซึ่งมีอยู่ ๔ คู่ ๘ พวก พระสงฆ์สาวกเหล่านี้ เป็นผู้คงแก่การบูชา เป็นผู้ควรแก่การต้อนรับ เป็นผู้คู่ควรแก่การรับทาน เป็นผู้ควรแก่การกราบไหว้ เป็นเนื้อนาบุญของโลก ดังนี้

ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลาย พากันมาระลึกถึง คุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรมเจ้า คุณของพระสงฆ์เจ้า เห็นปานนี้ ความสะดุ้งกลัว หวาดผวา ขนพองสยองเกล้า จักมิอาจครอบงำเธอ ดังนี้แล

บทสวดธชัคคสูตร

จบตำนานบทธชัคคปริตร ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

No comments:

ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในเว็บไซด์ที่เป็นของ Andaman Amulet ไม่สงวนสิทธิ์ สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้
ข้อความและรูปภาพบางส่วน นำมาจากเว็บไซด์หลายแห่ง ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้

ติดต่อผู้จัดทำได้ที่ E-mail : skarnwigit@gmail.com


ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ผู้ขอมักเป็นที่รังเกียจ