หัตถกคฤหบดี เป็นราชโอรสของพระเจ้าอาฬวกะ แห่งกรุงอาฬวี แคว้นอาฬวี มีพระนามว่า “อาฬวกะ”
* ถูกยักษ์จับ
ขณะเมื่ออาฬวกุมาร ยังอยู่ในวัยเยาว์ พรเจ้าอาฆวกะผู้เป็นพระราชบิดาเสด็จประพาสป่าเพื่อล่าสัตว์ พระองค์ฆ่าเนื้อได้ตัวหนึ่งแล้วตัดเป็น ๒ ท่อน ผูกคล้องไว้ที่ปลายคันธนูใช้คันธนูแทนคานหาบเนื้อนั้นกลับสู่พระนคร ขณะที่เสด็จกลับสู่พระนครได้เข้าไปพักเหนื่อยที่โคนต้นไทรใหญ่ริมทางและที่ต้นไทรนั้นมียักษ์สิงสถิตอยู่ ถ้ามีคนเข้ามาในร่มเงาของต้นไทรนั้นก็จะต้องตกเป็นอาหารของยักษ์ทุกคน เมื่อยักษ์เห็นพระราชาประทับนั่งที่โคนต้นไทรของตนจึงออกมาจับที่พระหัตถ์แล้วกล่าวว่า “ท่านต้องเป็นอาหารของเรา”
พระราชาสะดุ้งพระทัยหวาดกลัวภัยอย่างที่สุด ไม่เห็นอุบายอย่างอื่นที่จะให้รอดพระชนม์ได้ จึงตรัสแก่ยักษ์ว่า “ถ้าท่านปล่อยเราไป เราขอให้ปฏิญญาแก่ท่านว่าจะส่งมนุษย์หนึ่งคนพร้อมด้วยถาดอาหารมาให้ท่านกินทุกวัน”
ยักษ์รับปฏิญญาแล้วปล่อยพระราชาไป ตั้งแต่วันนั้นพระราชาได้ส่งนักโทษในเรือนจำไปเป็นอาหารของยักษ์ทุกวัน จนนักโทษหมดเรือนจำ เมื่อไม่มีนักโทษส่งไปแล้วจึงรับสั่งให้จับคนแก่ไปให้ยักษ์วันละคนจนกระทั่งคนแก่ก็หมดไป ทั้งเมือง จากนั้นรับสั่งให้จับตัวเด็ก ๆ ส่งไปให้ยักษ์ ด้วยวิธีนี้ครอบครัวพ่อแม่ที่มีลูกหลานพากันอพยพหนีไปอยู่เมืองอื่นกันหมด
* พุทธานุภาพปราบยักษ์
วันหนึ่งในเวลาใกล้รุ่ง พระบรมศาสดาทรงตรวจดูสัตว์ผู้มีอุปนิสัยควรแก่การบรรลุมรรคผล ได้ทอดพระเนตรเห็นอุปนิสัยของอาฬวกกุมาร ผู้ซึ่งได้ตั้งความปรารถนาไว้นานถึงแสนกัป ก็ถ้าพระราชาผู้เป็นพระบิดา เมื่อไม่มีเด็กอื่นจะส่งไปให้แก่ยักษ์แล้ว ก็จัดส่งโอรสของพระองค์เองไปให้ยักษ์ในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นในเวลาเย็นวันนั้น พระพุทธองค์ได้เสด็จไปยังต้นไทรที่อยู่อาศัยของอาฬวกยักษ์ประทับนั่งบนอาสนะของอาฬวกยักษ์นั้น
ขณะนั้น สาตาคิรยักษ์และเหมวตยักษ์ เหาะผ่านมาทางนั้นได้เห็นพระบรมศาสดาประทับนั่งในที่อยู่ของอาฬวกยักษ์ จึงเข้าไปเฝ้ากราบถวายบังคมแล้วถอยออกไปกล่าวมุทิตากถาแสดงความยินดีกับอาฬวกยักษ์ว่า
“ท่านอาฬวกยักษ์ ท่านมีโชคได้ลาภอันประเสริฐแล้ว ขณะนี้พระบรมโลกนาถศาสดาเสด็จมาประทับยังที่นั่งของท่าน ขอท่านจงไปเฝ้ากราบถวายบังคมและฟังพระธรรมเทศนาเถิด” แต่อาฬวกยักษ์ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ พอได้ฟังดังนั้น ก็โกรธที่พระสมณโคดม รุกล้ำล่วงสู่แดนของตน จึงประกาศที่จะต่อสู้เพื่อขับไล่พระสมณโคดมไปให้พ้นจากสถานที่ของตน พร้อมทั้งชักชวนสรตาคิรยักษ์ และเหมวตยักษ์ให้ร่วมด้วยช่วยกันทำศึกในครั้งนี้ แต่ยักษ์ทั้งสองไม่ยอมร่วมด้วย อาฬวกยักษ์จึงประทุษร้ายขับไล่พระพุทธองค์ด้วยตนเองเพียงผู้เดียว
อาฬวกยักษ์ แม้จะรุกรานพระบรมศาสดาด้วยกำลังโดยวิธีการต่าง ๆ ก็ไม่สามารถจะได้รับชัยชนะ จึงเปลี่ยนมาใช้วิธีถามปัญหา ๘ ข้อ พระพุทธองค์ทรงวิสัชนาแก้ได้ทั้งหมด เมื่อจบการแก้ปัญหาอาฬวกยักษ์ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันมีศรัทธามั่นคงไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัย คลายความโกรธและหายจากความโหดร้ายกลับมีจิตเมตตาต่อผู้อื่น
วันรุ่งขึ้น ราชบุรุษทั้งหลายเมื่อไม่ได้เด็กภายนอกไปให้ยักษ์ จึงกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ พระราชาเมื่อไม่มีใครอื่นที่จะส่งไป ก็เกรงภัยจะมาถึงตนจึงได้ส่งอาฬวกกุมารวางลงที่มือของยักษ์ ฝ่ายอาฬวกยักษ์พอรับเด็กมาแล้วได้น้อมเข้าไปถวายวางลงบนพระหัตถ์ของพระศาสดา พระพุทธองค์ทรงรับแล้วส่งกลับคืนในมือของยักษ์อีก อาฬวกยักษ์ได้นำเด็กไปวางใน มือของพวกราชบุรุษที่นำมาอีกครั้งหนึ่ง พระราชกุมารนั้นโดยอาการที่ถูกส่งจากมือหนึ่งไปยังอีกมือหนึ่งนี้ จึงได้รับการขนานนามว่า “หัตถกอาฬวกกุมาร” และได้รอดพ้นจากการเป็นอาหารของยักษ์ด้วยพระพุทธบารมี
หัตถกอาฬวกกุมาร นั้น เมื่อเจริญวัยขึ้นมาได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระบรมศาสดาได้บรรลุเป็นพระอนาคามี ประกาศตนเป็นอุบาสกขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต เมื่อเขาจะไปในที่ใด ๆ ก็จะมีอุบาสกผู้เป็นอริยะ ๕๐๐ คน ติดตามแวดล้อมตลอดเวลา พระบรมศาสดาได้ตรัสถามเขาว่า “มีหลักสงเคราะห์บริษัทบริวารอย่างไร ?”
หัตถกอาฬวกกุมาร กราบทูลว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์สงเคราะห์ด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการ คือ
๑. ทาน ถ้าเขายินดีด้วยการให้ข้าพระองค์ก็สงเคราะห์ด้วยการให้
๒. ปิยวาจา ถ้าเขายินดีด้วยการพูดจาไพเราะน่ารักข้าพระองค์ก็สงเคราะห์ด้วยวาจาไพเราะน่ารัก
๓. อัตถจริยา ถ้าเขายินดีด้วยการให้ทำกิจที่เกิดขึ้นจนสำเร็จข้าพระองค์ก็สงเคราะห์ด้วยการช่วยทำกิจที่เกิดขึ้นจนสำเร็จ
๔. สมานัตตตา ถ้าเขายินดีด้วยการวางตนเสมอกัน ข้าพระองค์ก็สงเคราะห์ด้วยการด้วยการวางตนเสมอกัน
พระบรมศาสดาทรงอนุโมทนาในการสงเคราะห์บริษัทบริวารของเขาแล้ว ประกาศยกย่องหัตถกอาฬวกกุมาร ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าอุบาสิกาทั้งหลาย ในฝ่ายผู้สงเคราะห์บริษัทด้วยสัคหวัตถุ ๔
No comments:
Post a Comment