2008-12-31

พระพุทธเจ้าได้ปัจฉิมสาวกและปรินิพพาน

พระพุทธเจ้าได้ปัจฉิมสาวกและปรินิพพาน



เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จถึงป่าสาละวันของมัลลกษัตริย์แห่งนครกุสินารา จึงได้รับสั่งให้พระจุนทะปูลาดอาสนะลง ณ ที่นั้นระหว่างต้นไม้สาละคู่หนึ่ง ให้หันพระเศียรไปทางทิศอุดร แล้วประทับสีหไสยา ตั้งพระทัยจะไม่เสด็จลุกขึ้นอีก ทรงแสดงธรรมแนะนำวิธีปฏิบัติต่าง ๆ แก่พระภิกษุสงฆ์อยู่ตลอดเวลา

พอย่างเข้าสู้ราตรีกาลวันนั้น มีปริพาชกผู้หนึ่งชื่อ สุภัททะ มาขอเข้าเฝ้า พระอานนท์เห็นพระพุทธองค์ทรงลำบากพระกาย จึงได้ห้ามไว้ แต่สุภัททะก็อ้อนวอนจะขอเข้าเฝ้าให้จงได้ พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงประทานโอกาสให้สุภัททะเข้าเฝ้า ถามปัญหาต่าง ๆ พระองค์ทรงแก้ไขปัญหา และเทศนาธรรมกถาให้ฟังจนเป็นที่เข้าใจ สุภัททะได้ความเลื่อมใสทูลขอบรรพชาอุปสมบท เมื่อสุภัททะอุปสมบทแล้ว ได้พยายามเจริญวิปัสสนาจนได้บรรลุพระอรหัตผล ได้ทันเห็นพระบรมศาสดาได้เป็นพระสาวกองค์สุดท้าย

ต่อจากนั้นพระบรมศาสดาได้ประทานปัจฉิมโอวาทว่า

" หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว วะยะธัมมา สังขารา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ "

" ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราเตือนท่านทั้งหลายให้รู้ สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา
ท่านทั้งหลายจงให้กิจทั้งปวง ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด "

พระมหากัสสปเถระทราบข่าวพุทธปรินิพพาน



เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จปรินิพพานแล้วถึงวันที่เจ็ด ครั้งนั้นพระมหากัสสปะพร้อมด้วยภิกษุบริวาร กำลังเดินทางจากเมืองปาวา จะไปยังเมืองกุสินารา เพื่อเฝ้าพระบรมศาสดา ระหว่างได้แวะพักร้อนที่ร่มไม้ ขณะที่กำลังนั่งพักอยู่นั้น ได้มีอาชีวกะผู้หนึ่ง ถือดอกมณฑารพที่ผูกติดกับกิ่งไม้ต่างร่มเดินมา จึงคิดว่าดอกไม้นี้ไม่มีในแดนมนุษย์ เป็นดอกไม้สวรรค์ จะมีในแดนมนุษย์ก็ต่อเมื่อผู้มีฤทธิ์บันดาล และพระโพธิสัตว์เสด็จปฏิสนธิในครรภ์พระมารดาเป็นต้น แต่ว่าพระบรมศาสดาของเรานั้น ทรงพระชรามากอยู่แล้ว พระองค์คงเสด็จดับขันธปรินิพพานเสียแล้วเป็นแน่

ดำริห์ฉะนี้แล้ว ท่านจึงได้ลุกขึ้นจากที่นั่ง เข้าไปหาอาชีวกะผู้นั้น ยกหัตถ์ขึ้นอัญชลีทัศนสโมธานขึ้นเหนือเศียรเกล้า ถวายคารวะในพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วจึงถามว่า ท่านยังทราบข่าวพระบรมศาสดาของเราบ้างหรือไม่ อาชีวะจึงตอบว่า พระสมณโคดมได้ปรินิพพานเสียได้เจ็ดวันเช้าวันนี้ ดอกไม้นี้ข้าพเจ้าได้เก็บมาจากบริเวณที่เสด็จปรินิพพานนั้น

พอทราบข่าวว่าพระบรมศาสดาเสด็จปรินิพพาน บรรดาภิกษุที่ที่เป็นปุถุชน และพระอริยบุคลที่ยังไม่บรรลุอรหัตผล ก็พากันร้องไห้ปริเทวนาการถึงองค์พระบรมศาสดา ส่วนท่านที่เป็นพระอรหันต์ ก็ได้เกิดธรรมสังเวช ในความที่สังขารเป็นอนิจจตาทิธรรม

ในพวกภิกษุบริวารนั้นมีพระสุภัททะ ซึ่งบวชเมื่อแก่รูปหนึ่ง ได้เที่ยวห้ามปรามมิให้บรรดาภิกษุทั้งหลาย ร้องไห้เศร้าโศก กลับแสดงความดีใจที่พระผู้มีพระภาคได้เสด็จปรินิพพาน เพราะจะได้ไม่มีผู้ที่คอยเคี่ยวเข็ญพวกตนอีกต่อไป การแสดงออกของพระสุภัททะ ทำให้พระมหากัสสปะได้ถือเป็นเหตุสำคัญ กระทำการสังคายนาพระธรรมวินัย เป็นครั้งแรก

หน้าแรก................................................หน้าที่แล้ว................................................หน้าถัดไป

No comments:

ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในเว็บไซด์ที่เป็นของ Andaman Amulet ไม่สงวนสิทธิ์ สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้
ข้อความและรูปภาพบางส่วน นำมาจากเว็บไซด์หลายแห่ง ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้

ติดต่อผู้จัดทำได้ที่ E-mail : skarnwigit@gmail.com


ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ผู้ขอมักเป็นที่รังเกียจ